NIA ก้าวสู่ปีที่ 16 พร้อมเผยเส้นทางการสร้างนวัตกรรมไทยสู่ระดับโลก

NIA

เอ็นไอเอ (NIA) ก้าวสู่ปีที่ 16 พร้อมเผยเส้นทางการสร้างนวัตกรรมไทยสู่ระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ชาตินวัตกรรม…

highlight

  • สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ (NIA) ระดมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศนวัตกรรมทั้งไทย และต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ในหลากหลายประเด็น ในงานสัมมนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีการจัดตั้งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตั้งเป้าสานต่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศนวัตกรรมแห่งชาติ ผ่านความร่วมมือกับนวัตกรรมแห่งชาติในต่างประเทศ อาทิ สาธารณรัฐลิทัวเนีย และราชอาณาจักรสวีเดน สร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ดีด้วยการส่งเสริมผู้มีความสามารถ และภาพการลงทุนในอนาคต เร่งสร้างการเติบโตธุรกิจนวัตกรรมไทย พร้อมเดินหน้าเชื่อมแหล่งเงินทุนนวัตกรรมระหว่าง “NIA x FTI one x BOI” (เอ็นไอเอ x โครงการกองทุนอินโนเวชั่น x บีโอไอ) ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพด้วยกลไกการลงทุน และการพัฒนากำลังคน เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดสากล

NIA ฉลองก้าวสู่ปีที่ 16 พร้อมเผยเส้นทางการสร้างนวัตกรรมไทยสู่ระดับโลก

NIA
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ

ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ กล่าวว่า ระยะวลา 15 ปีที่ เอ็นไอเอ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ “ระบบนวัตกรรมแห่งชาติ” โดยมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยให้สามารถตั้งต้น และเติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดจนสร้างคนรุ่นใหม่ที่เปิดรับ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่นำไปสู่ความเปลี่ยนเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่า เอ็นไอเอ ได้ก้าวข้ามความท้าทาย และการเปลี่ยนผ่านโดยวางหมุดหมายที่จะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาและการเติบโตของระบบนวัตกรรมไทยมาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2547 ที่ “นวัตกรรม” เป็นแนวคิดใหม่ที่รัฐบาลนำมาใช้ในการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจจากการเป็นฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไปสู่การสร้าง และพัฒนาสินค้า และบริการมูลค่าสูง เน้นตอบโจทย์การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านการวิจัย

และพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม จนมาในปี พ.ศ. 2552 ที่มีการจัดตั้ง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม และพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ

NIA

จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน “บริบทนวัตกรรม” ของประเทศไทยแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มีความท้าทาย และโอกาสมากมายที่ เอ็นไอเอ ต้องเผชิญในการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้ทัดเทียมระดับนานาชาติ ตั้งแต่เริ่มมีการจัดตั้งสำนักงานสู่การเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ทอัพในปี พ.ศ. 2559 

เพื่อสร้างนักรบทางเศรษฐกิจใหม่ผ่านโครงการ Startup Thailand และในปี พ.ศ. 2562 ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญอีกครั้งในการเชื่อมโยงแหล่งทุนนวัตกรรม (PMU ภายใต้ อว.) เพื่อมุ่งสู่การเติบโตในอนาคตผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก 

ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศนวัตกรรมไทยทำให้ เอ็นไอเอ ต้องมีการพัฒนาและเติบโตควบคู่กันไป เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้น ทั้งกลไกสนับสนุน และเครือข่ายความร่วมมือที่ได้ริเริ่ม ต่อยอด และขยายผล เพื่อให้เกิด “นวัตกรรม” ที่สามารถสร้างผลกระทบสูงต่อระบบเศรษฐกิจ และสังคมไทย

ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ นวัตกรรมเพื่อสังคม นวัตกรรมเชิงพื้นที่ นวัตกรรมภาครัฐ ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมรุ่นใหม่ทั้งระดับบุคคลและองค์กร ซึ่งจากความมุ่งมั่นดังกล่าวทำให้ เอ็นไอเอ เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับในฐานะหน่วยงานหลักของประเทศ

NIA

ในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมไทยเห็นได้จากการครองแชมป์ Thailand’s Most Admired Company “องค์การมหาชน” ด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรม 3 ปีซ้อนนับตั้งแต่ปี 2021 และตลอด 15 ปี (พ.ศ. 2552-2567) ได้ให้การสนับสนุนโครงการนวัตกรรมกับผู้ประกอบการแล้ว 3,133 โครงการ

คิดเป็นมูลค่าโครงการ 3,586 ล้านบาท และก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุน 50,350 ล้านบาท ตลอดจนเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงบริการพัฒนาและส่งเสริมสตาร์ทอัพระดับโลกที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสตาร์ทอัพทั้งสัญชาติไทย และต่างประเทศ ผ่านการให้คำปรึกษา เชื่อมโยงเครือข่ายนักลงทุน และเข้าถึงสิทธิพิเศษของภาครัฐ

สานต่อภารกิจ “3 พันธกิจ” พร้อมก้าวสู่ “พันธกิจที่ 4” เพื่อก้าวสู่ระดับโลก

NIA

สำหรับก้าวต่อไปภายใต้บทบาท “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม” (Focal Conductor) เอ็นไอเอ พร้อมเชื่อมการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ภายใต้แนวคิด “3 พันธกิจ 5 เป้าหมาย  7กลยุทธ์”

โดย 3 พันธกิจ ได้แก่ “Groom” ที่เน้นบ่มเพาะ และเสริมสร้างเสริมศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยผ่าน 16 หลักสูตรสร้างนวัตกร โดยแบ่งเป็นการพัฒนาเยาวชนที่สนใจเตรียมพร้อมที่จะเติบโตในการสร้างธุรกิจนวัตกรรม 2 หลักสูตร 

และการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม 14 หลักสูตร รวมถึงการสร้างสตาร์ทอัพลีคที่มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 70,000 คน จากเครือข่าย 48 มหาวิทยาลัย จดทะเบียนบริษัท 80 แห่ง และสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจกว่า 100 ล้านบาท

สนับสนุน “Grant” ผ่าน 7 กลไกการสนับสนุนเงินทุนใหม่ ที่เน้นการพัฒนา และขยายผลธุรกิจนวัตกรรมไปสู่ตลาดที่ครอบคลุมทั้งนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม และความร่วมมือกับแหล่งเงินทุนภายนอก

ขณะที่ “Growth” เป็นการเร่งสร้างการเติบโตธุรกิจนวัตกรรม และสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านโปรแกรมเร่งการเติบโตสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีอาหาร, เทคโนโลยีเกษตร, เทคโนโลยีด้านสุขภาพ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมระดับภูมิภาคผ่านโครงการนิลมังกร 10X ที่มุ่งสร้างยอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี

และ “Global” เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยสู่ตลาดสากลผ่านโอกาสการขยายธุรกิจและการระดมทุน ด้วยบริการของ Global Startup Hub และโปรแกรมส่งเสริมการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงเร่งผลักดัน พรบ. สตาร์ทอัพ เพื่อเอื้อต่อระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เข้มแข็ง

NIA

“15 ปีที่ผ่านมาสำนักงานเราก็จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากเกี่ยวกับเรื่องของนวัตกรรมของประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องของการบ่มเพาะผู้ประกอบการการให้เงินทุนเสียเวลารวมถึงการเติบโตด้วยแต่ปีนี้สำคัญที่สุด คือก้าวต่อไปของ เอ็นไอเอ ภายใต้คอนเซปต์การทำงานของเราคือการผลักดันนวัฒกรรมไทยไปรูระดับโลก

ที่ เอ็นไอเอ “Global” เข้าไปในเรื่องของการส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีการเติบโตในตลาดของต่างประเทศ หรือการทำงาน ก็เพื่อขยายธุรกิจของ SME และ Startup ไปยังต่างประเทศซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ตัวธุรกิจของไทยเนี่ยสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง”

ในส่วนของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global innovation index) ปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 43 ซึ่งเราอยู่ในอันดับที่ 43 มาประมาณซัก 3 ปีแล้ว แต่เราต้องการจะให้อยู่ในระดับที่มาใส่เลข 3 ให้ได้ เพราะเรามีศักยภาพไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ อย่าง ประเทศลิทัวเนีย ที่เล็กกว่าประเทศไทยเยอะเขาอยู่อันดับที่ 34

หรือประเทศสิงคโปร์ที่มีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยแต่เขาก็มีอันดับที่ดีของโลก หรือเเม้แต่ประเทศสวีเดน ก็ยังอยู่ใรอันดับ 3 ของโลก เราจะเห็นว่าโมเดลที่แต่ละประเทศต่าง ๆ ใช้ มีสิ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการของแต่ล่ะประเทศไม่ด้พัฒนาแค่ตลาดในประเทศของตนเอง

แต่ประเทศเหล่านี้มีการผลักดันส่งเสริมให้นวัตกรรมของตนเองให้ออกไปสู่ระดับโลกด้วย นี่ถือเป็นจุดที่ประเทศไทยเราต้องมาปรับกลยุทธ์ในการทำงานของเรา ว่าเราจะส่งเสริม และผลักดันผู้ประกอบการไทยไปปรับปรุงในตลาดต่างประเทศ ให้พวกเค้าสามารถขยายธุรกิจต่างประเทศเช่นเดียวกันได้อย่างไร

หากมองถึงโอกาศในเรื่องของนักลงทุนต่างประเทศ นั้นก็มีโอกาสเพราะประเทศไทยถือว่ามีภูมิศาสตร์ที่ดีในการที่ก้างสู่การเป็น Digital Hub ของเอเซียได้ แต่อาจจะต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประทศเช่นความร่วมมิอกับทางประเทศลิทัวเนีย เก่งเรื่องเกี่ยวกับ Fintech และ Cyber security

NIA

โดยปัจจุบันประเทศลิทัวเนียมีผู้ประกอบการที่ทำทั้ง 2 ด้านนี้ กว่า 400 ราย ขณะที่ประเทศไทยมีอยู่เพียง 70-80 ราย เท่านั้น ดังนั้นการสานความร่วมมือกันระหว่างไทย และลิทัวเนีย ก็น่าจะเร่งให้เกิด ไทยแลนด์ฟินเทค ได้เร็วขึ้น นอกจากความร่วมมือกับลิทัวเนียแล้ว ทางประเทศเกาหลีใต้ เองก็ให้ความสนใจไทยเช่นเดียวกัน

ซึ่ง เอ็นไอเอ มองว่าความร่วมมือ ที่น่าจะเกิดขึ้นคือเป็นความร่วมมือในลักษณะของการลงทุนร่วมกับบริษัทไทยหรือสตาร์ทอัพไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย ได้เรียนรู้ด้วย เอ็นไอเอ ไม่อยากให้แค่มาลงทุนในบ้านเราอย่างเดียว แล้วเราไม่ได้อะไรเลย ซึ่งหากทำได้การขยายตลาดในอนาคตนะมันจะเป็นการเชื่อมโยงตลาดสู่ตลาดด้วยกัน

อีกส่วนที่ทาง เอ็นไอเอ มองวา่จะสามารถดำเนินการได้คือการผลักดันความร่วมมือระหว่างหน่วยนวัตกรรมของประเทศต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งล่าสุด เอ็นไอเอ ได้ร่วมมือกับทางประเทศออสเตรเลีย ในการคัดเลือก Startup ที่มีศักยภาพของเราไปเปิดตลาดที่ออสเตรีย

NIA
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ

แต่อย่างไรก็ดีการที่ประสบความสำเร็จได้ สิ่งแรกของการที่ทำคือเรื่องการจัดทำงบประมาณของนวัตกรรม ที่จะต้องสูงกว่านี้ เพื่อผลักดันให้เกิดได้ ปัจจุบันนวัตกรรมไทยในหลาย ๆ ครั้ง แม้จะเข้าสู่ตลาดเมืองไทยเองก็ยังยากฉะนั้นเนี่ยถ้าสามารถสร้างความต้องการโดยเริ่มจากผลักดันให้ Government ใช้นวัตกรรม

ของบริษัทเอกชน หรือสตาร์ทอัพของไทยก็จะทำให้เกิด ความต้องการภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ตัวผู้ประกอบการเติบโต ในอีกแง่หนึ่งก็จะเป็นการช่วยสร้าง Portfolio ซึ่งจะนำได้สู่การ Investment เพื่อขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ ฉะนั้นเราต้องความสร้างความต้องการ (Create demand) ภายในประเทศของเราเองก่อน

เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นหลังจากนั้นจะเป็นชู๊ตทำให้เขาส่งไปความร่วมมือต่างประเทศถ้าเราทำสิ่งนี้ได้ และก็เชื่อว่าความสำเร็จก็จะเด่นชัดมากขึ้น

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A

สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th

ITDay