การ์ทเนอร์ (Gartner) เผยวิธีปลดล็อกคุณประโยชน์ทางธุรกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอที (IT Infrastructure) เพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้กับธุรกิจ…
Gartner เผยวิธีปลดล็อก IT Infrastructure เพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ออทัมน์ สแตนนิช ผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า เมื่อแรงกดดันด้านกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นและราคาพลังงานพุ่งทะยาน ทำให้องค์กรต้องหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และการลงทุนด้านเทคโนโลยีเร็วกว่าที่คาดไว้
โดยจากการสำรวจของการ์ทเนอร์ พบว่า 79% ของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกมองว่าความยั่งยืนเป็นโอกาสของการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น เมื่อผู้บริหารปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระยะยาว โดยที่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่จะกำหนดกรอบการแข่งขัน
การตัดสินใจว่าเราควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ยั่งยืนเมื่อใด และอย่างไร จึงเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญด้วยเหตุที่ความยั่งยืนส่งผลต่อทุกด้านขององค์กร
ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืน (Sustainable Data Center) หรือ “กรีนดาต้าเซ็นเตอร์” (Green Data Center) และบริการคลาวด์ (Cloud Service) เผยให้เห็นข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน แต่มักถูกประเมินค่าของคุณประโยชน์ทางธุรกิจต่ำเกินไป หลายคนยังมองความยั่งยืนผ่านมุมมองผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เช่น การลดการปล่อยคาร์บอน และการลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิบัติการ (Infrastructure and operations หรือ I&O) ต้องก้าวข้ามการตอบสนองความคาดหวังและพิสูจน์คุณค่าทางธุรกิจของความพยายามด้านความยั่งยืนของพวกเขา
เพื่อปลดล็อกคุณค่าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยั่งยืน (Sustainable IT) อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้นำ I&O จัดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ และก้าวข้ามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
โยต้องตระหนักถึงประโยชน์ทางอ้อม อาทิ ช่วยประหยัดต้นทุนทางด้านนวัตกรรม และการจัดการความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยวางแนวทาง Sustainable IT ให้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ
นอกจากนี้ยังช่วยให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จด้านความยั่งยืน โดยการวัดความก้าวหน้าในรูปแบบที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพทางธุรกิจ
เพิ่มคุณค่าสูงสุดพร้อมลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด
การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของผู้นำ I&O สามารถเป็นประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม และงบประมาณ คือ การชะลอการซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งการจัดการ ปรับปรุง หรือนำสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมกลับมาใช้ใหม่ให้ดีขึ้น แนวทางหนึ่งคือการกำหนดมาตรฐานวงจรชีวิตของอุปกรณ์ไอทีตามระยะเวลาการสนับสนุนของผู้ขาย
และลดลงเฉพาะเมื่อจำเป็น เนื่องจากความต้องการด้านประสิทธิภาพ ผลการวิจัยของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าองค์กรไม่เพียงแต่ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสามารถประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 40% หากมีการขยายอายุการใช้งานอุปกรณ์
สิ่งนี้รวมไปถึงเทคโนโลยีที่พนักงานใช้ และมีการยอมรับแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมากขึ้น ตามการสำรวจของการ์ทเนอร์พบว่า 75% ของพนักงานมีแนวโน้มที่จะใช้อุปกรณ์ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่สำหรับการทำงานหากช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่การจัดการเซิร์ฟเวอร์ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่ให้ดีขึ้นสามารถช่วยลดของเสียและประหยัดเงินได้ ในหลายองค์กรการใช้งานเซิร์ฟเวอร์มักจะน้อยกว่า 50% และบางครั้งต่ำถึง 20%
เพื่อช่วยปรับปรุงสินทรัพย์เหล่านี้ องค์กรสามารถใช้โซลูชัน Performance Management และ Event Management เพื่อติดตามการใช้งาน และประสิทธิภาพในโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์
โอกาสทองในการสร้างนวัตกรรม
การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า 40% ของ AI Data Centres ที่มีอยู่จะเผชิญกับข้อจำกัดในการดำเนินงานเนื่องจากความพร้อมด้านพลังงานในปี 2570 ซึ่งการหันมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญ โดยความท้าทายนี้เป็นโอกาสทองสำหรับผู้นำ I&O ในการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรม สร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยี และโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่มาปรับใช้
ตัวอย่าง ควรพิจารณาแพลตฟอร์ม Open Telemetry ที่เป็นมาตรฐานเปิดในอุตสาหกรรมสำหรับการรวบรวมข้อมูลจากโครงสร้างพื้นฐานไอที สำหรับติดตาม และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับทีมไอที เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ข้อมูล ที่สามารถปรับให้เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้นของระบบ
การนำเทคโนโลยีการทำความเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) หรือการจุ่ม (Immersion Cooling) มาใช้ยังสามารถลดผลกระทบด้านพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และนำความร้อนที่สูญเสียไปกลับมาใช้ใหม่ พร้อมมีต้นทุนการทำความเย็น และประสิทธิภาพที่มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น
สร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจในระยะยาว
ไอทีที่ยั่งยืน ทนทาน และมีประสิทธิภาพคือหนึ่งในผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ในการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจแท้จริงแล้วระบบนิเวศด้านไอทีขององค์กรขึ้นอยู่กับการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงของอุตสาหกรรมทั่วโลก
จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำ I&O ในการพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรองรับการหยุดชะงักด้านต้นทุนพลังงานที่ผันผวน และความท้าทายในห่วงโซ่อุปทาน และข้อกำหนด ESG ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อปกป้ององค์กรจากปัญหาการหยุดชะงักเหล่านี้และช่วยรักษาความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ
ผู้นำ I&O ควรนำแนวปฏิบัติการรีไซเคิลที่ยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรมาใช้ ซึ่งอาจรวมถึงการมองหาสถานที่ที่มีคาร์บอนต่ำสำหรับการโฮสต์เวิร์กโหลดที่ทำงานอย่างรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุด เช่น พลังงานน้ำหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th