ไวร์เลส ลอจิก (Wireless Logic) เผยผู้นำด้านพลังงานกำลังเดิมพันกับ IoT เพื่อพลิกโฉมพลังงานโลกแต่โครงสร้างพื้นฐานไทยพร้อมรับมือ หรือยัง?…
เดิมพันใหญ่! Wireless Logic จี้ถามเมื่อโลกใช้ IoT มากขึ้นโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไทยพร้อมหรือยัง?
Syed Natashrul Asia Pacific Lead ของ Wireless Logic
Syed Natashrul Asia Pacific Lead ของ Wireless Logic กล่าวว่า ระบบพลังงานทั่วโลกกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี และ IoT (Internet of Things) คือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ ตั้งแต่การช่วยให้เกิดการผลิตพลังงานแบบกระจาย
ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายไฟฟ้า อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้จึงกลายมาเป็นรากฐานรากฐานของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ชาญฉลาด สะอาด และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อการพึ่งพา IoT มีมากขึ้น ความจำเป็นในการรับมือยืดหยุ่นต่อความปลอดภัยแบบครบวงจรก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หากขาดสิ่งเหล่านี้ ความเสี่ยงที่จะเกิดการหยุดชะงัก และอาจลุกลามไปถึงการหยุดให้บริการในวงกว้าง ก็จะยิ่งสูงขึ้น เหตุการณ์ล่าสุดได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เจอกับปัญหาไฟดับที่เกิดจากทั้งภัยพิบัติธรรมชาติ และความท้าทายทางโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
เช่น อุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ จากพายุไต้ฝุ่นยางิในปี 2567 และเกิดขึ้นซ้ำในเหตุการณ์ไฟดับบนเกาะสมุยซึ่งส่งผลมาจากสายไฟฟ้าเก่าในพื้นที่ หรือการแจ้งเตือนระดับสีเหลืองจากความไม่เสถียรของสถานีจ่ายพลังงานไฟฟ้า ในเขตลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าสำรองไม่เพียงพอจนเกิดไฟดับทั่วพื้นที่เป็นระยะ
ในขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ IoT โดยตรง แต่ทั้งสองกรณีก็แสดงให้เห็นการถูกรบกวนจากผลกระทบจากความล้มเหลวของโครงข่ายไฟฟ้า และชี้ให้เห็นว่าทุกห่วงโซ่ในระบบพลังงาน รวมถึง IoT จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง เพราะพลังงานถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อประเทศอย่างยิ่ง
IoT สามารถทำงานร่วมกับพลังฐานในโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างไร?

การใช้งาน IoT เติบโตขึ้นอุตสาหกรรมพลังงานอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง โดยคาดการณ์ว่าภาคพลังงานจะใช้การเชื่อมต่อผ่านระบบเซลลูลาร์มากถึง 1 พันล้านครั้ง ภายในปี 2571 เหตุผลของแนวโน้มนี้ชัดเจนมาก เนื่องจากหน่วยงานภาคพลังงานกำลังเปลี่ยนจาก
การพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาด เทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนวิธีการผลิต การกักเก็บ และกระจายพลังงานในแต่ละประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนขึ้น โดยมีโครงข่ายการจ่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเป็นรากฐาน ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นเส้นเลือดหลักของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากระบบอัตโนมัติเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และความเสถียรสูงสุด ซึ่งการใช้ IoT ช่วยให้สามารถตรวจสอบระบบต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ และเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น มิเตอร์อัจฉริยะ, ระบบ Microgrid (โครงข่ายไฟฟ้าย่อย), กังหันลม, แผงโซลาร์ฟาร์ม, โรงไฟฟ้าพลังน้ำ, ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และอื่น ๆ
ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบกำลังการผลิต และสินทรัพย์ คาดการณ์การบำรุงรักษาอุปกรณ์ จัดการความต้องการและแจกจ่ายพลังงาน รวมถึงค้นหาโอกาสในการประหยัดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงข่ายไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย IoT ยังช่วยเปิดทางสู่ระบบพลังงานที่ปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับบ้านเรือน และธุรกิจ ด้วยการผลิตพลังงานหมุนเวียน และการใช้พลังงานที่ชาญฉลาด ยกตัวอย่างเช่น ซิมการ์ดแบบเซลลูลาร์ ที่ติดตั้งในอุปกรณ์ อินเวอร์เตอร์ ระหว่างแผงโซลาร์เซลล์กับตัวอาคาร
ซึ่งปัจจุบันสามารถสื่อสารผ่านแอปพลิเคชัน และส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการพลังงานได้ ทำให้สามารถผลิตพลังงานในพื้นที่ และนำพลังงานส่วนเกินคืนกลับไปยังโครงข่ายไฟฟ้าได้
IoT ในวงการพลังงานนั้นปลอดภัย และยืดหยุ่นจริงหรือไม่?

ทุกอย่างที่กล่าวมีแต่ข้อดี แต่สำหรับผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้า ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายพลังงานแล้ว IoT จะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อสามารถเชื่อถือได้เท่านั้น หากอุปกรณ์ IoT ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างเสถียร และเชื่อถือได้ ระบบนิเวศพลังงานทั้งหมดก็จะมีความเสี่ยงทันที
ทั้งนี้ เราไม่สามารถหลีกหนีความจริงที่ว่าเมื่อเครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันขยายใหญ่ขึ้น ความเสี่ยงที่จุดอ่อนในห่วงโซ่การเชื่อมต่อจะนำไปสู่ระบบล่ม และไฟฟ้าดับก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างที่เราได้เห็นในปีนี้ เมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ผลที่ตามมามักเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความไม่ปลอดภัย การประณาม
และการชดใช้ค่าเสียหายที่มีราคาสู อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถกำจัดความเสี่ยงทั้งหมดได้โดยสิ้นเชิง IoT อาจเกิดความขัดข้องได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของเครือข่ายหรือพลังงาน ความขัดข้องทางกลไกและไฟฟ้า การโจมตีทางไซเบอร์ หรือการบำรุงรักษาที่ไม่เพียงพอ
ความเสี่ยงทางไซเบอร์ถือเป็นเรื่องร้ายแรง และเร่งด่วนอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ (CISA) และพันธมิตร ได้เผยแพร่เอกสารสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภัยคุกคามที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมุ่งเป้าโจมตีโครงข่ายพื้นฐานที่สำคัญ
โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วนหรือทำลายระบบ หากเกิดวิกฤตหรือความขัดแย้งกับสหรัฐฯ แม้ว่าคู่มือนี้จะไม่ได้ระบุเจาะจงถึง IoT แต่เนื่องจากเทคโนโลยีนี้แพร่หลายมากขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์เซลลูลาร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เพื่อให้มองเห็นภาพรวมและนำไปสู่การดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าบริษัทผู้ให้บริการโซลูชัน IoT จะต้องเผชิญกับหลายปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยง การบรรเทาความรุนแรงลงผ่านมาตรการเชิงรุกเพื่อสร้างความยืดหยุ่น
และการมีกลยุทธ์ที่พร้อมรับมือเพื่อลดระยะเวลาหยุดทำงานหากเกิดเหตุ และฟื้นฟูระบบให้กลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยผู้กำหนดกฎเกณฑ์และหน่วยงานกำกับดูแลต่างตระหนักดีว่าผู้บริโภค และภาคธุรกิจได้รับผลกระทบเมื่อระบบ IoT ล่ม พวกเขาจึงได้กำหนดกฎระเบียบ และมาตรฐาน
ที่กำหนดให้บริษัทต้องรับผิดชอบ เพื่อเพิ่มความสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่นให้กับการใช้งาน IoT หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามอาจถูกตัดสินว่าไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และต้องเผชิญกับการสอบสวนและบทลงโทษ นอกเหนือจากความเสียหายทางการเงิน และชื่อเสียงที่เกิดจากเหตุไฟฟ้าดับอยู่แล้ว

วิธีเพิ่มความยืดหยุ่น และความปลอดภัยของ IoT
บริษัทต่าง ๆ ต้องนำมาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และการปกป้องข้อมูลมาใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนด IoT และเพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าของตนเอง ความยืดหยุ่นจะต้องถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มต้น และครอบคลุมตลอดทั้งโซลูชัน IoT ทั้งในระดับอุปกรณ์ เครือข่าย ซอฟต์แวร์ กระบวนการ และระบบคลาวด์
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการออกแบบเครือข่าย และระบบให้มีความซ้ำซ้อน (redundancy) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดจุดที่ล้มเหลวเพียงจุดเดียว และมีระบบการปรับสมดุลโหลด (load balancing) และปรับขนาดอัตโนมัติ (auto-scaling) เพื่อรองรับความผันผวนของความต้องการ
นอกจากนี้ยังรวมถึงระบบสลับทำงานอัตโนมัติ (automated failover) เพื่อช่วยให้บริการต่าง ๆ ยังคงดำเนินต่อไปได้แม้เกิดการหยุดชะงัก บริษัทต่าง ๆ ต้องเลือกฮาร์ดแวร์ และตัวกำหนดวิธีการที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อรองรับการขยายระบบ เพราะการปรับขนาดโดยไม่มีมาตรการป้องกันถือเป็นความเสี่ยง
ด้านความยืดหยุ่น และการดำเนินงานอย่างร้ายแรง ความปลอดภัยต้องได้รับการพิจารณาและผนวกรวมไว้ในทุกขั้นตอน มาตรการที่สำคัญ ได้แก่ การจัดการตัวตน และการเข้าถึง การยืนยันตัวตนหลายชั้น การเข้ารหัสข้อมูล การสแกนช่องโหว่ การป้องกันที่อุปกรณ์ปลายทาง และการแบ่งส่วนเครือข่าย เป็นต้น
ซึ่งการตรวจจับความผิดปกติ และภัยคุกคามจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และสามารถเสริมด้วยการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อการสืบสวน และดำเนินการตอบสนองได้ ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ได้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนกำลังการผลิตซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ
รวมถึงการใช้เครือข่ายส่งข้อมูล (CDN) การแคชข้อมูล และการประมวลผลที่ขอบเครือข่าย (edge computing) ขณะเดียวกัน มาตรการจำกัดอัตราข้อมูลจะช่วยป้องกันการโอเวอร์โหลดเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานแอปพลิเคชัน
และอุปกรณ์ต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (predictive maintenance) ซึ่งสามารถใช้การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาช่วยคาดการณ์ความล้มเหลวและระบุข้อบกพร่องได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น และระบบที่ซ่อมแซมตัวเอง (self-healing) ก็สามารถตรวจจับ และแก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติได้เช่นกัน

การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้เป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับขั้นตอนการควบคุมการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการเพื่อลดความเสี่ยงระหว่างการอัปเดต รวมไปถึงความจำเป็นในการมีการควบคุมเวอร์ชันของการตั้งค่า และระบบต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าเป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
ยิ่งไปกว่านั้น แผนฟื้นฟูระบบหลังภัยพิบัติก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งต้องครอบคลุมทุกด้าน รวมถึงควรมีการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และควรมีการทดสอบขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเป็นประจำ
เครือข่ายพลังงานที่เสถียรขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของ IoT
ปัจจุบัน ระบบที่เชื่อมต่อกันได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงาน ตั้งแต่การปรับสมดุลโครงข่ายไฟฟ้าไปจนถึงการกักเก็บพลังงาน และการใช้มิเตอร์อัจฉริยะ แต่การเชื่อมต่อใหม่แต่ละครั้งก็เพิ่มทั้งความสามารถและความเสี่ยงไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ด้านพลังงานนั้นมีความเปราะบางเพียงใด
ท้ายที่สุดนี้ วิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยง และเพิ่มระยะเวลาการทำงานสูงสุดในโซลูชัน IoT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสมัยใหม่ของเรา คือการสร้างความยืดหยุ่นในทุกระดับชั้น โดยความเสถียรของเครือข่ายพลังงาน และความไว้วางใจของผู้บริโภค และธุรกิจที่มีต่อระบบนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

ส่วนขยาย
* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th
