ผลการศึกษา IBM ชี้ การวางแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Attack ) พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การยับยั้งการโจมตียังคงเป็นปัญหาอยู่…
IBM ชี้ การวางแผนรับมือ Cyber Attack พุ่งสูงขึ้น แต่การยับยั้งยังคงเป็นปัญหา
ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ เผยผลการศึกษาองค์กรทั่วโลกประจำปีเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับภัยไซเบอร์ของธุรกิจต่างๆ พบในช่วงห้าปีที่ผ่านมา องค์กรเริ่มค่อย ๆ พัฒนาขีดความสามารถในการวางแผน ตรวจจับ และรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์
แต่ความสามารถในการยับยั้งการโจมตีกลับลดลงถึงร้อยละ 13 โดยผลการสำรวจของสถาบันโพเนมอนที่สนับสนุนโดยไอบีเอ็มในครั้งนี้ พบว่าการใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยหลายเครื่องมือเกินไป รวมถึงการขาดแนวทางปฏิบัติเฉพาะในการรับมือกับการโจมตีแบบทั่วไป กำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขององค์กร
แม้องค์กรจะเริ่มทยอยพัฒนาแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างช้า ๆ แต่องค์กรส่วนใหญ่ (74%) ยังรายงานว่าแผนรับมือของตนเป็นแบบเฉพาะกิจ (ad-hoc) ที่ไม่ได้นำมาใช้ประจำ หรือไม่มีแผนแต่อย่างใด ทั้งนี้ การขาดแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์
อาจส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการจัดการกับเหตุด้านซิเคียวริตี้ โดยบริษัทที่มีทีมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์และดำเนินการทดสอบแผนรับมือเป็นระยะ ๆ มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยเมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลน้อยกว่า บริษัทที่ลดค่าใช้จ่ายด้วยการตัดทีมงาน และแผนด้านซิเคียวริตี้ออกไปถึง 36 ล้านบาท
ข้อมูลสำคัญจากรายงาน Cyber Resilient Organization Report ยังรวมถึง
- การพัฒนาอย่างช้า ๆ : ตลอด 5 ปีที่ผ่านมานี้ บริษัทที่นำแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์มาใช้ทั่วทั้งองค์กรอย่างจริงจังมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 ในปี 2558 เป็น 26% ในปีนี้ (เพิ่มขึ้น 44%)
- แนวทางปฏิบัติเป็นสิ่งจำเป็น : แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่มีแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์อย่างเป็นกิจจะลักษณะอยู่แล้ว ก็ยังมีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น (คิดเป็น 17% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด) ที่ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติสำหรับการรับมือกับการโจมตีแบบทั่วไป โดยแผนรับมือกับวิธีการโจมตีแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างแรนซัมแวร์ยังคงล้าหลังอยู่มาก
- ความซับซ้อนเป็นอุปสรรคต่อการรับมือกับภัยคุกคาม : เครื่องมือรักษาความปลอดภัยจำนวนมากที่องค์กรนำมาใช้นั้น ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการรับมือกับภัยคุกคาม โดยองค์กรที่ใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ 50 ชนิดขึ้นไป มีขีดความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามลดลง 8% และขีดความสามารถในการรับมือกับการโจมตีลดลง 7% เมื่อเทียบกับองค์กรที่ใช้เครื่องมือน้อยกว่า
- ยิ่งวางแผนดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดการหยุดชะงักของธุรกิจได้มากเท่านั้น : องค์กรที่นำแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์มาใช้กับทุกส่วนงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีโอกาสน้อยกว่ามากที่จะเกิดปัญหาการหยุดชะงักทางธุรกิจอันเป็นผลมาจากการโจมตีทางไซเบอร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีเพียง 39% ของบริษัทเหล่านี้ที่ประสบกับเหตุด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จนธุรกิจหยุดชะงัก เมื่อเทียบกับ 62% สำหรับบริษัทที่ไม่มีแผนรับมืออย่างเป็นกิจจะลักษณะ หรือนำแผนการมาใช้อย่างไม่สม่ำเสมอ
“แม้จำนวนองค์กรที่นำแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์มาใช้อย่างจริงจังจะมีจำนวนมากขึ้น แต่การเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ”
เวนดิ วิทมอร์ รองประธานของ IBM X-Force Threat Intelligence กล่าวว่า องค์กรยังต้องให้ความสำคัญกับการทดสอบ การฝึกซ้อม รวมถึงการประเมินแผนรับมือภัยคุกคามเป็นประจำ นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกันได้และระบบอัตโนมัติ จะช่วยให้เราเอาชนะความซับซ้อนและช่วยยับยั้งเหตุได้อย่างรวดเร็ว
การอัพเดตแนวทางปฏิบัติสำหรับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
จากการสำรวจพบว่า แม้กระทั่งในองค์กรที่มีแผนรับมือกับเหตุด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSIRP) อย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีเพียง 33% เท่านั้นที่มีแนวทางปฏิบัติสำหรับการรับมือกับการโจมตีประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะ เนื่องจากรูปแบบการโจมตีประเภทต่าง ๆ ต้องใช้เทคนิคการรับมือที่เฉพาะเจาะจง
การมีแนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ มีแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องและสามารถดำเนินการซ้ำได้ เพื่อจัดการกับการโจมตีแบบทั่ว ๆ ไปที่มีแนวโน้มว่าจะพบบ่อยมากที่สุด
ในบรรดาองค์กรส่วนน้อยที่มีการเตรียมแนวทางปฏิบัติในการรับมือกับการโจมตีประเภทต่าง ๆ ไว้ พบว่ามักเป็นการเตรียมรับมือกับการโจมตีแบบ DDoS (64%) และมัลแวร์ (57%) แม้วิธีการโจมตีเหล่านี้จะเคยเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ขององค์กร แต่วันนี้วิธีการโจมตีแบบใหม่ ๆ อย่าง แรนซัมแวร์ กำลังพุ่งสูงขึ้น
และแม้ว่าการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ได้พุ่งขึ้นเกือบ 70% ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา แต่กลับมีองค์กรเพียง 45% เท่านั้นที่นำแนวทางปฏิบัติที่กำหนดแผนการรับมือกับการโจมตีของแรนซัมแวร์เอาไว้มาใช้
นอกจากนี้ เกินกว่าครึ่ง (52%) ขององค์กรที่มีแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ระบุว่า องค์กรไม่เคยตรวจสอบหรือกำหนดเวลาในการตรวจสอบ/ทดสอบแผนรับมือเหล่านั้นเลย ในขณะที่การดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากพนักงานได้เปลี่ยนไปทำงานจากระยะไกลกันมากขึ้น
เทคนิคการโจมตีแบบใหม่ ๆ ได้ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าธุรกิจจำนวนมากกำลังพึ่งพาแผนรับมือที่ล้าหลังซึ่งไม่สอดรับกับภัยคุกคามและภูมิทัศน์ทางธุรกิจในปัจจุบัน
ยิ่งใช้เครื่องมือมาก ก็ยิ่งทำให้ความสามารถในการรับมือแย่ลง
นอกจากนี้ รายงานยังพบว่าความซับซ้อนของเครื่องมือได้ส่งผลในเชิงลบต่อความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ ผู้ที่ตอบแบบสำรวจประเมินว่าองค์กรของตนใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยโดยเฉลี่ยมากกว่า 45 ชนิด โดยในการรับมือกับเหตุการณ์แต่ละครั้ง จำเป็นต้องอาศัยการทำให้เครื่องมือประมาณ 19% ชนิด
ทำงานประสานสอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม การศึกษายังพบอีกว่า แท้จริงแล้ว เครื่องมือที่มีมากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคในการรับมือกับการโจมตีรูปแบบต่างๆ โดยองค์กรที่ใช้เครื่องมือมากกว่า 50 ชนิด มีขีดความสามารถในการตรวจจับการโจมตีลดลง 8% (5.83/10 เทียบกับ 6.66/10)
และมีขีดความสามารถในการรับมือกับการโจมตีลดลงประมาณ 7% (5.95/10 เทียบกับ 6.72/10) จากข้อมูลที่พบชี้ให้เห็นว่า การนำเครื่องมือต่าง ๆ มาใช้มากขึ้นไม่ได้ช่วยให้การรับมือกับการโจมตีดีขึ้นเสมอไป ซึ่งอันที่จริงแล้ว อาจได้รับผลตรงกันข้าม การใช้แพลตฟอร์มแบบเปิดที่สามารถทำงานร่วมกันได้
รวมถึงเทคโนโลยีการทำงานแบบอัตโนมัติจะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการเครื่องมือที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน โดยจากรายงานพบว่า 63% ขององค์กรที่มีผลประกอบการดี เลือกใช้เครื่องมือที่ทำงานร่วมกันได้ดี ซึ่งช่วยให้พวกเขารับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ได้ดียิ่งขึ้น
การวางแผนรับมือที่ดีขึ้นนำไปสู่ความสำเร็จ
รายงานของปีนี้ชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่ลงทุนในการวางแผนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จะประสบความสำเร็จในการรับมือกับเหตุต่าง ๆ มากกว่า โดยในบรรดาบริษัทที่มีการนำ CSIRP มาใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งองค์กรนั้น มีเพียง 39% เท่านั้นที่ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
เปรียบเทียบกับ 62% ที่ไม่มีแผนรับมืออย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อพิจารณาเหตุผลที่ทำให้องค์กรต่าง ๆ มองว่าตนมีศักยภาพในการรับมือกับการโจมตี พบว่าทักษะด้านซิเคียวริตี้ของบุคลากรคือปัจจัยที่องค์กรมองว่าสำคัญสูงสุด โดย 61% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจต่างมองว่าการจ้างพนักงานที่มีทักษะความชำนาญเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุด
ในการทำให้บริษัทมีความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจที่ระบุว่าความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ของบริษัทไม่ได้เพิ่มขึ้นนั้น 41% ระบุว่าเป็นเพราะขาดพนักงานที่มีทักษะความชำนาญ
เทคโนโลยีคือปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ซึ่งช่วยให้องค์กรต่างๆ มีความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องความซับซ้อน เมื่อพิจารณาองค์กรต่างๆ ที่มีระดับความสามารถในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สูงกว่า
ปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่ช่วยยกระดับความสามารถดังกล่าว คือ การมีความรู้เกี่ยวกับแอพพลิเคชัน และข้อมูล (57%) และการมีเครื่องมือในการทำงานแบบอัตโนมัติ (55%) โดยรวมแล้ว ข้อมูลชี้ว่าองค์กรที่พึ่งพานวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์มากกว่า จะมีความพร้อมในการรับมือที่มากกว่า
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th