ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) ผนึกกำลัง ทาโร่ – PTG – SLEEK EV เปิดแคมเปญ “ทาโรรักษ์โลก โชคเด้ง” เดินหน้า Circular Economy ลดขยะกว่า 1,000 ตันต่อปี เปลี่ยนซองพลาสติกเป็นพลังงานสะอาด พร้อมลุ้นโชครวมกว่า 16 ล้านบาท…
highlight
- ไปรษณีย์ไทย ผนึกกำลัง ทาโร, พีทีจี เอ็นเนอยี และ สลีค อีวี เปิดตัวแคมเปญ “ทาโรรักษ์โลก โชคเด้ง” ชวนคนไทยร่วมส่งคืนซองเปล่
าทาโรที่ไปรษณีย์ทุกแห่งทั่ วประเทศ เพื่อกำจัดอย่างถูกวิธี เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล นำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงผลิ ตพลังงานไฟฟ้าทดแทนอุตสาหกรร มการใช้ถ่านหิน พร้อมสิทธิ์ลุ้นรางวัลรวมมูลค่ ากว่า 16 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568-31 มกราคม 2569
Thailand Post–ทาโร และพาทเนอร์ ทุ่มงบ 16 ล้าน เปิดแคมเปญรีไซเคิลซองลดขยะ 1,000 ตันต่อปี

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ตลอด 142 ปี ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่ส่งต่อความสุข ความสำเร็จให้คนไทย และมุ่งมั่นส่งต่อโลกที่น่าอยู่ สำหรับคนรุ่นต่อไปด้วย โดยไปรษณีย์ไทยมุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy ผลักดันโครงการ Green Hub
ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX, โครงการ reBAG, โครงการ e-Waste ฯลฯ ช่วยด้านสิ่งแวดล้อมด้วยการจัดการขยะ (Waste) ประเภทต่าง ๆ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการ และแปรรูปอย่างสมดุลต่อไป ซึ่งการร่วมมือในแคมเปญนี้จึงเป็นการส่งพลัง อีกก้าวสำคัญจากทุกคนมารวมกัน
เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ ไปรษณีย์ไทย และศักยภาพด้านเครือข่าย และระบบโลจิสติกส์ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นจุดรวบรวม และส่งต่อซองทาโรเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งไม่เพียงช่วยลดขยะพลาสติก แต่ยังสร้างคุณค่าทางสิ่งแวดล้อม และสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)ด้าน วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายขนมขบเคี้
แคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง” จึงเป็นพันธกิจสำคัญในการจัดการซองทาโรที่ย่อยสลายยากกลับมาเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด โดยจับมือพันธมิตรที่มีเป้าหมายและความมุ่งมั่นร่วมกัน นำความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์จากหลากหลายธุรกิจมาบูรณาการ ซึ่งโครงการนี้สามารถช่วยลดขยะฝังกลบได้กว่า 1,000 ตันต่อปี
ผลิตไฟฟ้าได้ 2.4–3.0 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพียงพอต่อการใช้งานของ 667–833 ครัวเรือน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 2,000 ตัน CO₂e โดยเราเชื่อว่าโครงการนี้ไม่เพียงช่วยจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างการตระหนักรู้ ปลูกฝังพฤติกรรมการคัดแยกขยะ และต่อยอดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ด้าน พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า สำหรับ PTG การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงความท้าทาย แต่คือโอกาสในการสร้างพลังงานสะอาดที่กลับคืนสู่สังคม
เราบริหารธุรกิจบนหลักความยั่งยืน ผนวกเป้าหมาย ESG เข้ากับกลยุทธ์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการดูแลสิ่งแวดล้อม ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนบทบาทของ PTG ในการนำความเชี่ยวชาญด้านพลังงานมาช่วยจัดการซองทาโรอย่างเป็นระบบ
โดยเฉพาะการแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า (Waste-to-Energy) ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันสังคมไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด และยั่งยืน

ด้าน กันตินันท์ ตัน วีนุกูล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สลีค อีวี จำกัด กล่าวว่า SLEEK EV เชื่อว่าความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ทางเลือก แต่คือรากฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เรามุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี 2030
ผ่านการพัฒนานวัตกรรมระบบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร (Full-stack EV Ecosystem) ที่ช่วยลดมลพิษและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การเข้าร่วมแคมเปญนี้ จึงเป็นการตอกย้ำยอดพันธกิจของเราในการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการขยะพลาสติกให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้าน นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา-ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร จาก บริษัท คิดคิด จำกัด ในฐานะองค์กรการสร้างความยั่งยืน และให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านแฟลตฟอร์ม ECO LIFE ให้ความเห็นต่อแคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง : ส่งคืนซองทาโรเพื่อกำจัดอย่างถูกวิธี” ว่า พวกเรามองว่าปัจจุบันผู้บริโภค
ใส่ใจในเรื่องของ ESG กันมากขึ้น โดยกว่า 70% ของผู้บริโภคเริ่มตะหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งแคมเปญนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่ดี ที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องของสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะไม่สามารถลด หรือปรับเปลี่ยนอยางรวดเร็ว
แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งการที่มีหน่วยงานภาคเอกชน และภาครัฐ มาร่วมมือกัน โดยนำเอา ธุรกิจหลัก (Core Business) มาต่อยอดด้านสิ่งแวดล้อม จะทำให้ผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวย่อมส่งผลดีต่อสังคม
THP เดินหน้าสู่ความยั่งยืน ด้วยโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน และพลังงานสะอาด

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กล่าวเน้นย้ำถึงแนวแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ว่า อย่างที่กล่าวไป ไปรษณีย์ไทย มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนองค์กรสู่
ซึ่งความตั้งใจส่วนหนึ่งของ ไปรษณีย์ไทย คือการลดคาร์บอนในกระบวนการทำงานทั้งหมดของ ไปรษณีย์ไทย ปีล่ะ 3-5% โดยที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทย สามารถดำเนินแนวทางตาเป้าหมายมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ ไปรษณีย์ไทย เราไม่ได้พอใจอยู่ที่เท่านี้ แต่ต้องการเพิ่มสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านโครงการ “Green Hub” ต่าง ๆ
ผ่าน 3 แคมเปญหลัก อาทิ แคมเปญ “reBOX”, แคมเปญ “reBAG” และแคมเปญ “เทิร์นสุข” และรวมไปถึงโครงการ “E–Waste” ตลอดจนการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานในหลากหลายส่วน ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง, การปรับเปลี่ยนกฏระเบียบภายใน, การเปลี่ยนไปใช้รถขนส่งพัสดุเป็นแบบไฟฟ้า

รวมถึงการผลิตยูนิฟอร์มโดยใช้เส้นใยที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งในอนาคตก็จะมีการเปลี่ยนในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยในระยะเวลาอีนใกล้นี้สิ่งที่ ไปรษณีย์ไทย เล็งที่จะดำเนินการคือการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภายในสำนักงานทั้งหมดของ ไปรษณีย์ไทย ทั้งในตัวกรุงเทพฯ และสาขาต่างจังหวัด กว่า 70-80 แห่ง
เป็นการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ผ่านการติดตั้ง “แผงโซล่าเซลล์บนหลังคาอาคาร” หรือ “โซล่ารูฟท็อป” (Solar rooftop) ซึ่งจะทำให้ ไปรษณีย์ไทย ก้าวไปสู่องค์กรที่เปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และสามารถต่อยอดไปถึงการดำเนินการสร้างระบบซอฟต์แวร์
และโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงผู้ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กับสถานีชาร์จ หรือแพลตฟอร์มชาร์จจิ้ง (Charging Platform) ได้มากขึ้นอนาคต ซึ่งในส่วนของโครงการ “แผงโซล่าเซลล์บนหลังคาอาคาร” นี้ ไปรษณีย์ไทย เล็งจะใช้โมเดลในรูปแบบ “โอเฟ่นบิดดิ้ง”
ในรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) หรือ “พีพีเอ” (PPA) และเป็นสัญญาระยะยาว โดยบริษัทผู้พัฒนาระบบ (ผู้ขายไฟฟ้า) จะเป็นผู้ติดตั้งและเป็นเจ้าของระบบผลิตไฟฟ้า เช่น แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของลูกค้า (ผู้ซื้อไฟฟ้า)
กล่าวคือแทนที่ ไปรษณีย์ไทย จะเป็นผู้ลงทุนเองแล้ว การไฟฟ้านครหลวง และไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็จะไม่ได้ค่าไฟ เพราะเราสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้ แต่ถ้าเป็นในรูปแบบ “โอเฟ่นบิดดิ้งแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า” ก็จะได้ประโยชน์ทั้ง ไปรษณีย์ไทย และผู้ที่ลงทุน เพราะยังได้ค่าบริการ
เพราะซึ่งในอีกแง่มุมการใช้แนวทางนี้ก็จะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในขั้นตอนของการบำรุงรักษาให้ ไปรษณีย์ไทย ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งโมเดลนี้จะเริ่มเปิดภายในเดือนกันยายน 68 นี้ ซึ่ง ไปรษณีย์ไทย ไม่ได้เล็งว่าจะเริ่มจากที่สำนักงานต่าง ๆ ภายในกรุงเทพฯ แต่จะดูที่ความพร้อมว่าที่ไหนพร้อมก็เริ่มที่นั่นก่อน

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร โลจิสติกส์ พลังงาน หรือยานยนต์ไฟฟ้า ต่างสามารถร่วมกันสร้างสังคมที่สะอาด ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้จริง แคมเปญ “ทาโร รักษ์โลก โชคเด้ง” ชวนผู้บริโภคร่วมลดปัญหาขยะพลาสติกได้ง่าย ๆ
เพียงรวบรวมซองทาโรรสชาติใดก็ได้ ขนาดหรือราคาเดียวกัน รวมมูลค่าตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปต่อการส่ง 1 ครั้ง แล้วส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ พร้อมใช้ Tracking Slip เป็นหลักฐานการร่วมกิจกรรม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568-31 มกราคม 2569


แล้วมาร่วมลุ้นของรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท อันได้แก่ iPhone 16 Pro จำนวน 60 เครื่อง, iPad Air 11 นิ้ว จำนวน 60 เครื่อง, รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า SLEEK EV จำนวน 60 คัน และรางวัลใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้า VOLVO รุ่น EX30 จำนวน 6 คัน

(*จำกัดสิทธิ์ 1 ท่านต่อ 1 รางวัล และหากได้รับมากกว่า 1 รายการ จะได้รับเพียงรางวัลที่มีมูลค่าสูงสุด **เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th

























