DES ผนึกกำลัง CAT และ 8 หน่วยงานในสังกัดวางยุทธศาตร์ ICT พลิกฟื้นสู่หน่วยงานรัฐชั้นนำ

CAT

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม (DES) และ 9 หน่วยงานในสังกัด นำทีมโดย CAT ร่วมวางกลยุทธ์เพื่อปรับโฉมก้าวสู่หน่วยงานที่ขับเคลื่อนด้วย ICT…

DES ผนึกกำลัง CAT และ 8 หน่วยงานในสังกัดวางยุทธศาสตร์ ICT พลิกฟื้นสู่หน่วยงานรัฐชั้นนำ

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม หรือ ดีอีเอส (DES) กล่าวว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่สังกัดภายใต้กระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม ไม่ว่าจะเป็น กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD), สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สดช.),

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO), บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT), บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (Thailand Post), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)

และ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) จะต้อง คิดใหม่ ทำใหม่ โดยไม่ใช่เพียงแต่วางนโยบาย แต่เน้นการลงมือทำให้เกิดผลจริง ๆ เพื่อประโยชน์ของสังคม และประเทศชาติ โดยทุกหน่วยงานต้องทำงานในแบบที่เชื่อมโยงกัน ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำ แต่ต้องบรูณาการแบบเชื่อมโยงกัน

CAT

อย่างกรณีของโครการ Free WiFi สำหรับชุมชน ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง ก็ต้องทำให้มากกว่าแค่การติดตั้ง แต่ต้องสามารถสอนให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จากเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกัน และสร้างให้เกิด สร้างชุมชนต้นแบบและต่อยอดไปสู่การพัฒนา และขยายขิบเขตให้เหมาะสมกับชุมชนมากขึ้น

กล่าวก็คือวันนี้หน่วยงานสังกัด DES ต้องผลลัพท์ที่สามารถนำไป​ต่อยอดในอนาคต สร้างการรับรู้ และการปรับตัวเข้าสู่ออนไลน์ พร้อมสร้างกลยุทธ์เชิงรุก​ในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) แนวทางที่ที่ควรทำวันนี้คือการหา คนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถเข้าเสริม

ซึ่งอาจจะเป็นการดึงคนุ่นใหม่ ๆ จากแต่ล่ะหน่วยงาน มาระดมความคิดสร้างโครงการที่เชื่อมโยงประชาชนกับหน่วยงานรัฐ ให้ประชชนสามารถมีแฟลตฟอร์มในการติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้สะดวกรวดเร็ว และง่ายดายกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่ายื่งเมื่อโลกทุกวันนี้อยู่ในยุคของโมบาย ทุกคนมีสมาร์ทโฟน หน่วยงานรัฐก็ต้องสร้างช่องทางในการติดต่อ

บนแฟลตฟอร์มโมบาย เพื่อให้ประชาชนใช้เป็นช่องทางในการร้องเรียน และนำข้อมูลที่ได้มาทำการประมวลผล และมีตัวชี้วัด (KPI) เพื่อหาแนวทางในการยกระดับบริการจากหน่วยงานรัฐให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้จำนวนของข้อมูลที่มากขึ้นหน่วงานต่าง ๆ

ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวางกรอบนโยบายของหน่วยงานของตนเองได้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด อาทิ การติตั้ง ฟรีไวไฟ (Free Wi-Fi) ในพื้นที่ สำเพ็ง ที่ให้ความเร็วประมาณ 200 Mbps ให้สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ แล้วยังให้ความรู้ และสอนให้ใช้ประโยชน์ ก็กลยุทธ์เชิงรุกที่ DES ต้องการ

ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงประโยชน์ของโลกออนไลน์ได้มากขึ้น ซึ่งหน่วยงานในสังกัดของ DES อย่าง CAT และ TOT เองก็ถือเป็นหน่วยงานหลักมีหน้าที่ขยายพื้นที่การให้บริการ Free Wi-Fi โดยประเดิม 20 จุด แบ่งเป็น CAT 10 จุด และ TOT 10 จุด แน่นอนว่ายังไม่นับรวมกับภาคเอกชน อย่าง AIS ที่จะเข้ามาช่วยเสริม

 

ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่นั้น ๆ ได้ แน่นอนว่าการผสานร่วมหน่วยงานในสังกัดทั้ง 9 ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทำให้ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้เร็วมากเท่านั้น

ที่สำคัญคืออย่ามองแค่เรื่อง กำไร แต่ควรมองให้เป็นเรื่องของการต่อยอด เช่น หาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (Thailand Post) สามารถนำเอากำไรที่ได้ไปพัฒนาขยายช่องทางบริการให้มากยิ่งขึ้น เด๊่ยวกำไรก็มาเอง เพราะ ไปรษณีย์ไทย สามารถให้บริการได้ดีขึ้น คนก็มาใช้บริการมากขึ้น

CAT

นอกจากนี้ในดครงการอื่น ๆ ก็ ยังคงเดินหน้าพัฒนาย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศฯ (ASEAN Digital Hub), โครงการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) และสถาบัน IoT,

โครงการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมหลังหมดสัญญาสัมปทานไทยคม และการพัฒนาศูนย์ทดสอบ 5G (5G Testbed) ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำทางด้านโครงข่าย ทั้งในประเทศ และนอกประเทศ เป็นต้น

มุ่งยกระดับโครงการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

CAT

อย่างที่ทราบกันดีกว่าประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมุ่งเป้าในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ให้ใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนจากทั้งใน และต่างประเทศ

การเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง 5G จึงถือเป็นโครงการสำคัญในการช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ซึ่งทางกระทรวง และหน่วยงานในสังกัดอย่าง ทีโอที ร่วมไปถึงผู้ให้บริการจากภาคเอกชนชั้นนำระดับโลกอย่าง เอไอเอส และ หัวเว่ย เอง ก็ได้ได้รับอนุญาต

จากสำนักงาน กสทช. ให้ใช้คลื่นความถี่ ณ ศูนย์ทดสอบ 5G และได้รับคามร่วมมือจาก ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา เป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ EEC ให้ใช้พื้นที่ และบุคลากร ในการเป็นสนามทดสอบ 5G ได้ โดยที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยฯ ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม อย่างต่อเนื่อง

CAT

เพื่อหาแนวทางในการร่วมดำเนินการจัดตั้งศูนย์ทดสอบ 5G ในพื้นที่ EEC โดยที่ผ่านมาได้ทีมผู้บริหารของกระทรวงฯ ผู้ประกอบการโทรคมนาคม บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ นักศึกษา รวมถึงบุคคลภายนอกได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบ 5G ซึ่งมีผู้เยี่ยมชมกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นผู้เยี่ยมชมยัง ได้รับความรู้ความเข้าใจถึงเทคโนโลยี 5G อีกด้วย

โดยแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการทดสอบ 5G เป็นที่แรก ๆ ของประเทศไทย โดยปัจจุบัน สำนักงาน กสทช. ได้ปรับเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการทดลองทดสอบใหม่ให้เป็นรูปแบบ Regulatory Sandbox

ซึ่ง ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา ได้ผ่านการอนุญาตดังกล่าวแล้วให้เป็นผู้ประสานงานพื้นที่กำกับดูแลเป็นการเฉพาะ
ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 ทำให้ศูนย์ทดสอบ 5G ศรีราชา ได้เป็น sandbox สำหรับการทดสอบ 5G อย่างเป็นทางการ

CAT

ทั้งนี้ พื้นที่ห้องทดสอบจะอยู่ในบริเวณภายในอาคาร (indoor) ตั้งอยู่ชั้น 4 จากทั้งหมด 9 ชั้น ของอาคาร
23 คณะวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา รวมขนาดพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ในส่วนของพื้นที่นอกอาคาร (outdoor) ที่
เคยเป็นพื้นที่ทดสอบนั้น กระทรวงฯ ได้หารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

และเพื่อไม่ให้เกิดคลื่นความถี่รบกวนกับคลื่น ความถี่เชิงพาณิชย์ จึงขอระงับการใช้พื้นที่นอกอาคารในการทดสอบไปก่อน โดยย่านความถี่ที่ได้รับอนุญาตในการทดลองทดสอบที่พื้นที่นี้มี 3 ย่านความถี่ ได้แก่ ย่านความถี่ 26 GHz
(24.250-27.500 GHz) ย่านความถี่ 28 GHz (26.500-29.500 GHz)

CAT

และ ย่านความถี่ 2400 MHz (2400–2500 MHz) ทั้งนี้ การทดสอบ 5G ในปัจจุบันยังจำเป็นต้องใช้ 4G ในการทดสอบร่วมด้วย ดังนั้น กระทรวงฯ จึงขอ ความอนุเคราะห์คลื่นความถี่ 4G จาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส (AIS) ที่เป็นผู้ที่ถือคลื่นความถี่ 2.1 GHz ของ บมจ.ทีโอที อยู่

ซึ่ง เอไอเอส ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และขอให้ใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวในการทดสอบได้ แต่ให้ทดสอบเฉพาะภายในอาคารเท่านั้น

CAT

สานต่อThailand Digital Valley และการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล ในโครงการ Digital Park Thailand

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ แคท กล่าวว่า สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศฯ (ASEAN Digital Hub) นั้น

บริษัท กสท โทรคมนาคม จ ากัด (มหาชน) หรือ CAT ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการเพิ่ม
ประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของ
ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub)

CAT

ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ 2 ภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้เกิดความเชื่อมั่น

และเข้ามาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคลากรและประเทศ ซึ่งจะสนับสนุนให้
ประเทศก้าวสู่การเป็น ASEAN Digital Hub และส่งผลให้เกิดการสร้างงาน และธุรกิจใหม่ สร้างโอกาสใน
การศึกษาและสาธารณสุขที่เท่าเทียมกัน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ต

เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล และบริการภาครัฐที่เป็นประโยชน์ ทั้งนี้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศฯ (ASEAN Digital Hub) ประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย ซึ่ง CAT ดำเนินการสำเร็จตามลำดับแล้ว ดังนี้

  • การขยายความจุโครงข่ายภายในประเทศ เชื่อมโยงไปยังชายแดน เชื่อมต่อประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา รวมความจุที่ขยายเพิ่ม 2,300 Gbps โดยปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ ส่งมอบงานทั้งหมดแก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ขณะนี้ อยู่ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของอุปกรณ์ใน 151 สถานีทั่วประเทศ
  • การขยายความจุระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ้ระหว่างประเทศที่ใช้เชื่อมต่อในเส้นทางสิงคโปร์ จีน (ฮ่องกง) และสหรัฐอเมริกา จำนวน 3 ระบบคือ AAG, APG, FLAG ซึ่งปัจจุบันดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ขยายความจุเคเบิลใต้น้ำแล้วเสร็จทั้ง 3 ระบบ รวมความจุที่ขยายเพิ่ม 1,770 Gbps ส่งผลให้ความจุรวมเป็น 7,406 Gbps สามารถรองรับปริมาณทราฟิกในปัจจุบันรวมถึงการใช้งานที่จะเพิ่มในอนาคต
  • การสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่ เพิ่มเสถียรภาพความมั่นคงในการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมของภูมิภาคอาเซียน และสนับสนุนการเป็น ASEAN Digital Hub ของไทย โดยปัจจุบัน แคท ได้เข้าร่วมกับภาคีสมาชิกลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างระบบเคเบิล Asia Direct Cable (ADC) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 โดยระบบเคเบิล ADC มีความยาว 9,400 กม. เชื่อมโยง 6 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย จีน (ฮ่องกง) สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ระบบจะเชื่อมต่อตรง (Direct Route) จากไทยไปยังฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยมีจุดเชื่อมต่อกับประเทศไทยที่สถานีเคเบิลใต้น้ำชลี 3 ศรีราชา จ.ชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่โครงการ Digital Park Thailand

สำหรับโครงการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) และสถาบัน IoT นั้น แคท ได้ ดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศฯ (ASEAN Digital Hub) ข้างต้น

ซึ่งจะเป็นการยกระดับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ไทยเป็น
ศูนย์กลางข้อมูลของภูมิภาคอาเซียนโครงการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) ยังมุ่งพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลให้สามารถรองรับอุตสาหกรรม

CAT

ที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง โดยภายในโครงการฯ มีการจัดตั้งสถาบันไอโอที (Thailand Digital Valley) โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เพื่อเป็นศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนากำลังคนดิจิทัล ซึ่งจากจุดนี้จะเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วน IoT ระดับไฮเอนต์ของโลก

ที่ช่วยลดมูลค่าการนำเข้าอุปกรณ์ และชิ้นส่วนจากต่างประเทศ นำมาซึ่งการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ เกิดการจ้างงานแรงงานในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล สร้างอุตสาหกรรมดิจิทัล เพิ่มมูลค่าการลงทุนด้านดิจิทัล และขยายศูนย์กลางการค้าการลงทุนระดับภูมิภาคในอนาคต

ทั้งนี้ รองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 3 จังหวัด (ชลบุรี/ฉะเชิงเทรา/ระยอง) อาทิ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมการบิน และชิ้นส่วน, อุตสาหกรรมไฮเทคอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมการบิน และโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ, อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมยานยนต์อนาคต และเมืองวิทยาศาสตร์

โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมความเห็นของนักลงทุน เกี่ยวกับร่างเอกสารการคัดเลือกเอกชนที่ปรับแก้ไข
แล้ว และความเห็นเกี่ยวกับกำหนดการเปิดขายซองที่นักลงทุนเห็นว่าเหมาะสม เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ
คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนของโครงการฯ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการดำเนินโครงการฯ ต่อไป

เร่งดำเนินโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินกิจการดาวเทียมต่อเนื่อง 

CAT

สำหรับโครงการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศหรือดาวเทียมไทยคมที่จะสิ้นสุดสัมปทานลงโดยดาวเทียมทั้งสองดวงคือดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) มีอายุทางวิศวกรรมถึงปี 2566 (เหลือ 2 ปี) และดาวเทียมไทยคม 6 มีอายุทางวิศวกรรมถึงปี 2572 (เหลือ 8 ปี)

จะกลับคืนเป็นสินทรัพย์ของภาครัฐ คือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมนั้น ปัจจุบัน แคท ได้เริ่มส่งทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจดาวเทียมกว่า 24 นาย เข้าฝึกอบรมปฏิบัติการกับไทยคม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ณ สถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม นนทบุรี

โดยเป็นการฝึกอบรม ล่วงหน้า 1 ปีเต็มก่อนวันสิ้นสุดสัมปทาน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมบุคลากร โดยขณะนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนบริหาร จัดการดาวเทียมแห่งชาติแบบจีทูจี ด้วยกระบวนการตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนใน กิจการของรัฐ

ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ(บอร์ดดีอี) แล้วเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th