NSTDA นำร่องโครงการจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีในเขต EECi

NSTDA

สวทช. (NSTDA) นำร่องโครงการจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) หวังผลักดันไทยสู่ผู้นำด้านอุตสาหกรรมชีวภาพระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…

highlight

  • สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) จัดการประชุม kickoff โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) สำหรับโครงการระบบครุภัณฑ์โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมฐานชีวภาพของประเทศ ตามนโยบาย BCG Economy ของรัฐบาล
  • ตั้งเป้าพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ส่วน ประกอบด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติต่างๆ ทั้งในด้านความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่ไปสู่การเดินหน้าไปด้วยกัน

NSTDA นำร่องโครงการจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีในเขต EECi

NSTDA

 

ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) กล่าวว่า EECi เป็นแหล่งพัฒนางานวิจัยขยายผล หรือที่เรียกกันว่า Translational Research Hub

 และเป็นแหล่งปรับแปลงเทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ (Technology Localization) ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน เพื่อปิดช่องว่างทางเทคโนโลยีของไทย ที่ด้านหนึ่งก็มีขีดความสามารถสร้างผลงานแล้วระดับหนึ่งในห้องปฏิบัติการ

NSTDA

แต่ผลงานที่ได้ส่วนใหญ่ยังส่งไม่ถึงผู้ใช้ประโยชน์ แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของไทยที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งทางด้านอุตสาหกรรมเกษตร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ที่นำเอาผลิตผลทางการเกษตรมาผ่านกระบวนการทางเคมีชีวภาพ เป็น ชีวเคมีภัณฑ์ (Biochemicals) ที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มาจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงวัตถุเจือปนในอาหาร (Food additives) และสารออกฤทธิ์ (Functional ingredients)

ที่มีมูลค่าสูงที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และโภชนเภสัชภัณฑ์ (Nutraceuticals)  ซึ่งมีผลงานวิจัยอยู่มากในสหภาพยุโรป โดยใช้ผลผลิตทางการเกษตรของยุโรปเป็นวัตถุดิบ ซึ่งหากเราจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในประเทศไทย ก็ต้องพัฒนาวิธีในการปรับแปลงเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีนี้ให้เข้ากับชีวมวลในไทย เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย กากมัน หรือ ทะลายปาล์ม ได้

NSTDA

การจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery Pilot Plant) ในเมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ภายใต้ EECi ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีของไทย และเป็นเทคโนโลยีมุ่งเป้าสำคัญของ EECi

 ซึ่งเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีเป็นการแปรรูปชีวมวลด้วยกระบวนการทางกายภาพ เคมี และ/หรือ ชีวภาพ เพื่อให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ (Biobased products) ประเภทต่างๆ ได้แก่ ชีวเคมีภัณฑ์ วัสดุชีวภาพ  อาหาร และสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ

เพื่อเป็นองค์ประกอบในอาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง หรือ โภชนเภสัชภัณฑ์ โดยหลักสำคัญของอุตสาหกรรมคือการให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่ยั่งยืนซึ่งเกิดจากการนำวัสดุทางการเกษตร โดยใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery Pilot Plant) มีบทบาทสำคัญ 3 ประการ 

NSTDA

การลงทุนในอุตสาหกรรมฐานชีวภาพจำเป็นต้องมีการประเมินความเป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคโนโลยี และเชิงเศรษฐศาสตร์ (Technoeconomic feasibility) ก่อนที่นำไปผลิตจริงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งข้อมูลในระดับห้องปฏิบัติการไม่เพียงพอที่จะได้ผลการประเมินที่แม่นยำ   

การพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 2 ส่วนหลัก คือ 2.1) การผลิตผลิตภัณฑ์ (ด้วยกระบวนการทางชีวภาพหรือทางเคมี) และ 2.2) การเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้รวมถึงการทำให้บริสุทธิ์ ที่เรียกว่า Downstream Processing 

ซึ่งในหลายกรณีไม่สามารถทำได้ในระดับห้องปฏิบัติการ จึงทำให้ไม่สามารถคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ หรือไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบเพื่อทดสอบตลาด และประเมินต้นทุนการผลิตที่แท้จริงได้    

กระบวนการพัฒนาจนได้เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้าย ต้องมีกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ดังนั้น การขาดหน่วยผลิตระดับขยายขนาดในขั้นตอนกระบวนการผลิตต้นทาง จะทำให้ไม่สามารถผลิตสารในปริมาณที่มากพอ สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในขั้นต่อไป จึงทำให้ขาดโอกาสในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มได้

NSTDA

ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีเพื่อเป็นกลไกในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยข้อได้เปรียบที่สำคัญ คือ ความพร้อมของวัตถุดิบตั้งต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบในกลุ่มแป้ง น้ำตาล และวัสดุทางการเกษตรที่เป็นเซลลูโลสที่มีเป็นจำนวนมาก ความพร้อมของเทคโนโลยี และบุคลากรวิจัยในระดับหนึ่ง และภาคเอกชนมีความพร้อมและมีศักยภาพในการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มเติม

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th