ไอบีเอ็ม (IBM) เผยผลการศึกษาระบบออโตเมชันจะเปลี่ยนไปด้วย AI ในปี 2021 ชี้จะมีการใช้ระบบในงานธุรกา รและงานทั่วไปในแผนกจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง…
IBM เผยผลการศึกษาชี้ระบบออโตเมชันจะเปลี่ยนไปด้วย AI ในปี 2021
สวัสดิ์ อัศดารณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโกลบอลบิสสิเนสเซอร์วิส (Managing Director, Global Business Services หรือ GBS) ไอบีเอ็ม ประเทศไทย เปิดเผย ถึงผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของ ไอบีเอ็ม (IBV) ที่ร่วมกับอ็อกซ์ฟอร์ดอิโคโนมิคส์
พบว่าลักษณะงานที่ใช้ระบบออโตเมชันจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2567 โดยการใช้ระบบในงานธุรการและงานทั่วไปในแผนกจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 20% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าจะมีการนำระบบออโตเมชันมาใช้ในการทำธุรกรรมข้ามแผนกภายในองค์กรมากขึ้น
ขณะที่ 5% มองว่าจะเริ่มมีการนำระบบเข้ามาสนับสนุนงานซับซ้อนที่ต้องอาศัยข้อมูลเรียลไทม์ หรืออินพุทจากหลายแหล่งในการแก้ปัญหา

“โควิด-19 สอนให้เรารู้ว่าความเสียหายจากระบบปฏิบัติการที่หยุดชะงักนั้นมากเพียงใด วันนี้ผู้บริหารเองต่างก็ทราบถึงความจำเป็นของการนำระบบออโตเมชันมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบทั่วทั้งองค์กรให้มีความยืดหยุ่น ปรับสเกลการทำงาน และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงโมเดลการดำเนินงานรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว” สวัสดิ์ กล่าว
“อินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชัน” เทคโนโลยีพลิกเกมปี 2564
ออโตเมชันไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเทคโนโลยีที่หลายองค์กรตั้งแต่โรงงานไปจนถึงธนาคารนำมาใช้แล้วร่วม 10 ปี แต่วันนี้ ออโตเมชันไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นเทคโนโลยีที่หลายองค์กรตั้งแต่โรงงานไปจนถึงธนาคารนำมาใช้แล้วร่วม 10 ปี แต่วันนี้ เมื่อเราผนวกเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่วันนี้เดินมาถึงจุดที่สามารถนำไปใช้งานได้ในวงกว้าง
ไม่ว่าจะเป็น เอไอ, อนาไลติกส์, ไอโอที หรือแม้แต่ 5G จึงนำสู่สิ่งที่เรียกว่า “อินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชัน“ ที่วันนี้เริ่มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการเพิ่มประสิทธิภาพของเวิร์คโฟลว์ การทำอนาไลติกส์เชิงคาดการณ์ หรือการใช้งานร่วมกับแมชชีนเลิร์นนิง
โดยผลการศึกษาคาดว่า 80% ขององค์กรที่ใช้อินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชันจะก้าวเหนือกว่าคู่แข่งในแง่รายได้ และความสามารถในการทำกำไรภายในระยะเวลา 3 ปี ข้างหน้า
การศึกษาจากฟอร์เรสเตอร์ ยังชี้ว่าอินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชันจะมีสัดส่วนเป็น 25% ของการนำ RPA มาใช้ โดยในปีนี้ องค์กร 30% จะหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของระบบออโตเมชัน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของการวางแผน และทดสอบระบบก่อนที่จะเริ่มใช้งานจริง และเปิดให้พนักงานเข้าใช้ระบบ
ลดต้นทุน ติดสปีดการดำเนินงาน
ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการลดต้นทุน และการดำเนินงานแบบเอนด์ทูเอนด์ที่มีประสิทธิภาพของส่วนงานต่างๆ ภายในองค์กร ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ระบบออโตเมชันในอุตสาหกรรมมักใช้เครือข่ายมิเตอร์อัจฉริยะ และเซ็นเซอร์ในการรวบรวมข้อมูลการผลิตที่สำคัญ
จากนั้นระบบเอไอจะเปลี่ยนข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็นมุมมองเชิงลึกที่แสดงประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยองค์กรสามารถนำมุมมองเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และลดการหยุดทำงานของระบบได้
“ดังตัวอย่างของโรงแยกก๊าซของ ปตท. ที่ช่วยให้บริษัทสามารถคาดการณ์ความเสียหายของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า 3 เดือน ช่วยลดความสูญเสียมูลค่าหลายร้อยล้านบาทจากเหตุหยุดชะงักต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น”
ขณะที่พีทีที เทรดดิ้งก็ได้นำเอไอ และออโตเมชัน รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีการแปลงไฟล์ภาพเอกสารให้เป็นข้อความ (Optical Character Recognition หรือ OCR) มาใช้กับการเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้การค้า
ช่วยลดระยะเวลาการดำเนินการได้ถึงสี่เท่าภายในหกสัปดาห์ และคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 16.6 ล้านบาทภายใน 3 ปี ในอีกแง่มุมหนึ่ง เราเริ่มเห็นการนำอินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชัน มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบบรรทุกสินค้า การกำหนดเส้นทาง และการบริหารจัดการอะไหล่ต่าง ๆ
เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ รวมทั้งผนวกความสามารถของแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อสร้างการแจ้งเตือนตามลักษณะเหตุการณ์ ช่วยให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนการจัดสรรพื้นที่สำหรับสินค้าคงคลังได้ทันท่วงที และทำการแก้ไขระหว่างการขนส่งได้ตามการแจ้งเตือนเหล่านี้
เวิร์คโฟลว์อัจฉริยะกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
“การลดต้นทุน การลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน การเพิ่มประสิทธิผล และประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจ เป็นข้อดีหลัก ๆ ของอินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชัน”
ดังตัวอยางของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่วันนี้นำระบบออโตเมชัน และเอไอมาช่วยบริหารจัดการกระบวนการซ่อมบำรุง การบริหารคลังอุปกรณ์ การจัดซื้อชิ้นส่วน รวมถึงการบริหารจัดการซัพพลายเออร์ ทำให้สามารถเห็นความเคลื่อนไหวของอุปกรณ์แต่ละประเภทที่มีอยู่ในคลัง บริหาร
และกำหนดลำดับความสำคัญของงานซ่อมแซมในเชิงรุกได้ ซึ่งลดต้นทุนในการรักษาอุปกรณ์ที่มีอยู่ในคลังลงได้ถึง 30% ลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ลงได้ 3–5% ช่วยให้ กฟผ. มีชิ้นส่วนอะไหล่สำรองพร้อมใช้ รวมถึงสามารถยืดอายุของอุปกรณ์สำคัญ ๆ ได้ถึง 5%
การนำออโตเมชันมาช่วยตั้งแต่เรื่องกระบวนการทำงานของทีมแบ็คออฟฟิศ ไปจนถึงการคาดการณ์การตอบสนองลูกค้าในอนาคตและการปรับเปลี่ยนรูปแบบของภาระงาน รวมถึงการผนวกระบบเข้ากับเอไอที่สามารถวิเคราะห์แพทเทิร์นต่าง ๆ
ได้แม้เป็นข้อมูลที่ไร้โครงสร้าง จะทำให้ต่อไประบบออโตเมชันสามารถทำการตัดสินใจหรือขอบริการจากอุปกรณ์หรือระบบอื่นๆ ได้เองอัตโนมัติหากตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
เตรียมความพร้อมสำหรับงานในอนาคต
อินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชันสร้างโอกาสสำคัญให้กับองค์กร แต่ก็นำสู่ความจำเป็นในการปรับตัวเช่นกัน โดย 89% ของกลุ่มองค์กรที่นำออโตเมชันมาใช้ ตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และกระบวนการภายใน ตลอดจนฝึกทักษะใหม่ให้แก่พนักงาน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชันได้สูงสุด
ทักษะทางเทคโนโลยีที่จำเป็นในวันนี้อาจล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นองค์กรที่พนักงานร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือ จะมีความพร้อมในการตอบสนองต่อรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงมากกว่า เพราะในการนำอินเทลลิเจนซ์ ออโตเมชันมาใช้ องค์กรจะต้องพร้อมเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียงการเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งเดียว
ปี 2021 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความสามารถ และความเปิดกว้างพร้อมทรานส์ฟอร์ม และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร เพราะองค์กรที่จะรอดพ้นจากการทรานส์ฟอร์มในอนาคตนั้นอาจไม่ใช่องค์กรที่พร้อมที่สุด เร็วที่สุด หรือแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นองค์กรที่ปรับตัวได้มากที่สุด
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th