SEAC ชูทักษะ Digital Skills 4.0 หัวใจสำคัญยุคดิสรัปชั่นจับมือ Simplilearn สร้าง Digital Academy ระดับโลกนำเข้าหลักสูตรชั้นนำเร่งรีสกิล และอัพสกิลคนไทย…
highlight
- SEAC (เอสอีเอซี) ตอกย้ำ เดินหน้าสานต่อพันธกิจในการพัฒนาทักษะ และความสามารถของคนด้วยการรีสกิล(Reskill) และอัพสกิล (Upskill) เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพสู่หนทางความสำเร็จในระยะยาว
- SEAC ร่วมมือ Simplilearn สถาบันผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกในการฝึกอบรม Digital Skills 4.0 นำเข้าหลักสูตรที่เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน และใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิตอลที่หลากหลายและครอบคลุมต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ และการนำเสนอโซลูชั่นที่เฉพาะเจาะจงต่อความต้องการของแต่ละองค์กร(Customized Solution) เพื่อเร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางโลกยุคดิสรัปชั่น
SEAC ชูทักษะ Digital Skills 4.0 หัวใจสำคัญในการอยู่รอด
อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC (Southeast Asia Center) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า SEAC เชื่อเสมอว่าการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) โดยในปีนี้มีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิตอลกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือถือเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้องค์กรใหญ่ ๆ
ต้องรีบลุกขึ้นมาปรับตัวทำเรื่อง Digital Transformation อีกทั้งเมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต และธุรกิจในทุกแง่มุมอย่างปฏิเสธไม่ได้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่กับ Digital Transformation ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความเข้าใจเทคโนโลยี ตีความ และประยุกต์ใช้งานได้ (Digital Literacy) และการพัฒนาทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อทำให้การทำงานของเราดีขึ้น สะดวกขึ้น
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเตรียมความพร้อมให้ตัวเองและธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไม่มีสะดุด ล่าสุด SEAC ได้ร่วมมือกับ Simplilearn สถาบันผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกในการฝึกอบรม Digital Skills 4.0 ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสาน และมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ นำเข้าหลักสูตรพัฒนาทักษะดิจิตอลที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุด สำหรับนำมาประยุกต์ใช้เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ และพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของคนไทยในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่
“อย่ามองว่าเทคโนโลยีเป็นแค่เทคโนโลยี แต่ให้มองว่าเทคโนโลยีส่งผลกระทบเชิงลึกอย่างไรบ้างต่อชีวิตและธุรกิจของเรา หากอยากอยู่รอด ต้องดิสรัปต์ตัวเอง ก่อนจะถูกดิสรัปต์”
มร. Jaspreet Bindra ผู้ก่อตั้ง Digital Matters บริษัทให้คำปรึกษาเรื่อง Digital Transformation ผู้ซึ่งมีประสบการณ์โดยตรง และยาวนานในการสร้างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรมากมายอย่างมีกลยุทธ์ และชั้นเชิงทางธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเป็นตัวช่วยให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า ไม่มีองค์กรไหนที่จะสามารถพลิกโฉมธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่ผู้นำองค์กรจะต้องเข้าใจกระบวนการทำ Digital Transformation ก่อนว่าการวางกลยุทธ์ทางดิจิตอล ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพียงเท่านั้น
3 หัวใจสำคัญของ Digital Transformation
หากองค์กรอยากจะปรับเปลี่ยนต้องตระหนักถึง 3 หัวใจสำคัญของ Digital Transformation ที่จะต้องทำงานสอดคล้องประสานกันได้แก่
เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ส่งผลต่อโมเดลธุรกิจ (Business Model) เราจะต้องรู้จักมองหาเทรนด์และทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งถึงรูปแบบการใช้ชีวิต และความต้องการของพวกเขา เช่น การเติบโตของโมเดลธุรกิจแบบ Platform อันเป็นเพราะกระแสเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) กำลังมาแรงในหมู่วัยรุ่นที่หันมาลงทุนกับประสบการณ์ที่เน้นการเช่า-ยืมแทนการครอบครอง เพื่อลดทรัพยากรส่วนเกิน (Excess Capacity) และจัดสรรให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพสูงสุด
การให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า (Customer Experience) โดยวิเคราะห์ Consumer Journey และทำการวางรูปแบบตลาดให้สอดคล้องกันทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ (Online & Offline Strategy) เพราะทุกวันนี้เราไม่สามารถแยก 2 เรื่องนี้ได้ในการวางกลยุทธ์ เนื่องจากชีวิตของคนเราล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับเรื่องทั้งออนไลน์และออฟไลน์ผสมกันอยู่ตลอดเวลา
คน และวัฒนธรรมขององค์กร (People and Culture) ซึ่งถือเป็นแกนหลักที่สำคัญที่สุด จนอาจพูดได้ว่าการทำ Digital Transformation ได้ประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย แต่การทำ Digital Transformation ที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเหตุผลเดียวนั่นคือเรื่องของ “คน” ซึ่งนี่คือเรื่องของการเน้นการสร้างและปลูกฝังให้คนในองค์กรมีทักษะดิจิตอลที่จำเป็น ประกอบกับการมี Digital Mindset คือกล้าอยู่ตลอดเวลา เพราะหากขาดกลยุทธ์และการวางแผนที่รอบคอบอาจกลายเป็นแค่การเปลี่ยนระบบการทำงานซึ่งเกิดประโยชน์น้อย
โดย Simplilearn คือ สถาบันผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกในการฝึกอบรมแบบออนไลน์ กับเป้าหมายที่ต้องการส่วนหนึ่งในการช่วยให้องค์กรและธุรกิจสามารถอยู่รอดท่ามกลางกระแสดิจิตอลดิสรัปชั่น ด้วยโปรแกรมการเรียนรู้แบบเจาะลึกเกี่ยวกับ Digital Transformation มุ่งเน้นไปที่การรีสกิล (Reskill) และอัพสกิล (Upskill) คนและองค์กรทั่วโลกผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด
ปัจจุบัน Simplilearn ให้บริการมายาวนานกว่า 10 ปี การันตีความนิยมด้วยยอดการใช้งานกว่า 150 ประเทศทั่วโลก พร้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะมากกว่า 5 ล้านคนและผู้ฝึกสอนระดับอุตสาหกรรมกว่าอีก 1,000 คน อัดแน่นไปด้วยบทเรียนออนไลน์กว่า 150 บทเรียนให้เลือกตามความต้องการ และได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 แบรนด์ธุรกิจเพื่อการศึกษาที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกจาก LinkedIn
ด้วยความตั้งใจให้คนไทยได้เข้าถึงเนื้อหา ทักษะความรู้ระดับโลกในรูปแบบและราคาที่คนไทยจับต้องได้ สำหรับความร่วมมือระหว่าง SEAC และ Simplilearn นี้ จะเน้นรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ห้องเรียนออนไลน์ผ่านโมเดลการเรียนรู้ YourNextU
- Labs/Live Virtual Session จากผู้เชี่ยวชาญพร้อมคำแปลภาษาไทย
- การนำเสนอโซลูชั่นที่เฉพาะเจาะจงต่อความต้องการของแต่ละองค์กร (Customized Solution) เพราะเราเชื่อว่าทักษะดิจิตอล (Digital Skills 4.0) คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดยุคดิสรัปชั่นที่คนไทยจำเป็นต้องรีสกิล (Reskill) และอัพสกิล (Upskill) ตั้งแต่วันนี้
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th