หัวเว่ย (Huawei) แนะธุรกิจเตรียมพร้อมรับมือโลกหลังวิกฤติโรคระบาดด้วยเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดช่องทางออฟไลน์สู่ออนไลน์ ซึ่งมีการขยายตัวต่อเนื่อง…
Huawei แนะธุรกิจเตรียมพร้อมรับมือโลกหลังวิกฤติโรคระบาดด้วยเทคโนโลยี
ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกเผชิญหน้ากับโรคระบาดโดยไม่มีใครคาดคิด เทคโนโลยีถูกนำมาช่วยแก้ไขวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการแพทย์ การอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป และคาดการณ์ว่าเทคโนโลยียังจะเป็นปัจจัยหลักสำคัญของโลกหลังภาวะการโรคระบาดอีกด้วย
ภายในงานสัมมนาหัวข้อ “Beyond the Pandemic : A Decade of Challenges from 2021” ไมเคิล แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล หัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า เทรนด์ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และสังคมที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงแนวทางการปรับวิธีดำเนินธุรกิจในโลกหลังโควิด-19

สิ่งที่ภาคธุรกิจควรคำนึงถึงคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรและการดำเนินธุรกิจจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเทคโนโลยี 5G เปรียบเสมือนเครื่องมือผลักดันสู่ความเป็นดิจิทัล
ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพด้านความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 5G เป็นลำดับที่ 3-4 ของโลก หากในปี พ.ศ. 2564 มีการร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบดิจิทัล จะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งด้านเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และการสาธารณสุข
ก่อนหน้านี้ หัวเว่ยให้ข้อมูลว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การจับจ่ายใช้สอยที่เปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์มากขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่าน QR Payment หรือธุรกิจ Food Delivery
นอกจากนี้ หลายองค์กรเริ่มมีนโยบายสนับสนุนการทำงานทางไกลและการประชุมออนไลน์ ซึ่งเร่งให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะและเทคโนโลยีคลาวด์ที่สนับสนุนการทำงานทางไกลที่ต้องอาศัยความเร็วและความหน่วงต่ำ เป็นตัวอย่างของการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connection) ที่จะทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจ
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับด้านการสาธารณสุข ในหลายประเทศก็เริ่มมีการผ่าตัดจากระยะไกลด้วยโครงข่ายเทคโนโลยีที่มีแบนด์วิดท์สูงขึ้นเพื่อเพิ่มความคมชัด รวมถึงการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI)
ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่สามารถประมวลผล และตัดสินใจได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงถูกนำมาใช้เพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยโควิด-19 ในประเทศไทย ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ กับทั้งชีวิตประจำวัน และการดำเนินธุรกิจ
การปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงจึงจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของภูมิภาครวมถึงยุคเทคโนโลยีอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสมบูรณ์แบบ
นอกจากภาคธุรกิจที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว การวางรากฐานด้านโครงสร้างต่าง ๆ ของรัฐบาลก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศเช่นกัน ซึ่ง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงแนวทางการบริหารด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย
ซึ่งต้องมีเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในกลไกหลักของการขับเคลื่อน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สังคมไทยในทุกภาคส่วนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ประชาชนได้เรียนรู้ และพัฒนาทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ได้เป็นอย่างดี
และในอนาคตการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยี (Transfer of Technology) จะไม่จำกัดแต่เพียงการหยิบยืมหรือซื้อขายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะยังคงทรงตัว แต่กลับกลายเป็นโอกาสในการให้ความสำคัญด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทอย่างเห็นได้ชัดในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย
ทั้งในภาคสาธารณสุข ภาคธุรกิจ หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถรับมือกับสภาวการณ์ใหม่ของ โลกในยุคหลังโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในอนาคต
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.freepik.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th