งานวิจัยจาก NTT พบความเสี่ยงของธุรกิจทางไซเบอร์จากการทำงานแบบ Remote Working ผ่านอุปกรณ์ที่ล้าสมัย และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากไม่ได้ทำการแก้ไข…
NTT ชี้…การทำงานแบบ Remote Working ผ่านอุปกรณ์ที่ล้าสมัยคือความเสี่ยง!!
รายงานข้อมูลเชิงลึกด้านเครือข่ายระดับโลก ปี 2020 ของ เอ็นทีที (2020 Global Network Insights Report) พบว่า ในขณะที่องค์กรธุรกิจต่างย้ายแอพพลิเคชั่นไปยังระบบมัลติคลาวด์ ทำให้การลงทุนบนคลาวด์นั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานในองค์กร
ซึ่งทำให้การรีเฟรชระบบ และการอัพเกรดรูปแบบการทำงานลดลง เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากเลือกที่จะลดจำนวนอุปกรณ์เครือข่ายและชะลอการลงทุนในการปรับโครงสร้างเครือข่าย และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ส่งผลให้อุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้อยู่นั้นล้าสมัย และมีช่องโหว่ในการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์
ซึ่งก่อให้เกิดความเสียงต่อการถูกคุกคามด้านความปลอดภัยข้อมูล โดยในรายงานได้รับข้อมูลอ้างอิงจากการประเมินผลการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีของลูกค้ากว่า 1,000 ราย และครอบคลุมอุปกรณ์เครือข่ายกว่า 800,000 รายการ พบว่าสินทรัพย์เกี่ยวกับอุปกรณ์เครือข่ายขององค์กรถึง 46.3% ค่อนข้างล้าสมัยในปี 2560
ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) นับเป็นจำนวนมหาศาลในปี 2560 โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% และจากการระบาดของ COVID–19 และการใช้แบนด์วิธที่เพิ่มขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อระบบเครือข่าย และยังต้องเผชิญต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกเมื่อมีการเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกล (Remote Access)
และการทำงานจากนอกสถานที่ (Remote Working) รวมถึงการใช้บริการเสียงและวิดีโอ ทำให้ระบบเครือข่ายขององค์กรและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยขององค์กรอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างไม่น่าเชื่อ
ร็อบ โลเปซ รองประธานบริหารฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะของ เอ็นทีที กล่าวว่า ในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ “New Normal“ กลุ่มองค์กรธุรกิจจะต้องเพิ่มการทบทวนกลยุทธ์ด้านระบบเครือข่ายและสถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัยของพวกเขาให้มากขึ้น ทั้งรูปแบบของการดำเนินงาน
และการสนับสนุน เพื่อจัดการรวมถึงการบริหารความเสี่ยงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตเมื่อมีการล็อคดาวน์อีกครั้ง โดยโครงสร้างระบบเครือข่ายจำเป็นต้องได้รับการออกแบบ และการจัดการอย่างเหมาะสม
เพื่อจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที โดยจะต้องมีการใช้งานบนระบบคลาวด์ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดผลกระทบและลดความถี่ของการหยุดชะงักในการดำเนินงานที่สำคัญของธุรกิจ
ความเสี่ยงของอุ ปกรณ์ที่เกินอายุการใช้งานในสำนักงาน
โดยเฉลี่ยแล้วอุปกรณ์ที่ล้าสมัยจะมีช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า (42.2%) เมื่อเปรียบเทียบกับอายุการใช้งานอุปกรณ์ (26.8%) และปัจจุบัน (19.4%) ก่อนให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อธุรกิจไม่ได้ทำการแก้ไขอุปกรณ์
หรือเข้าไปอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ของระบบปฏิบัติการในช่วงระยะเวลาของอายุการใช้งาน และถึงแม้ว่าการแพตช์ (patch) เพื่อปรับปรุงข้อมูลสำหรับโปรแกรมให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นจะทำได้ค่อนข้างง่าย และมักจะทำได้ฟรีภายใต้ข้อตกลงการบำรุงรักษาหรือช่วงการรับประกัน
แต่ธุรกิจจำนวนมากก็ยังไม่ทำการแพตช์อุปกรณ์อย่างที่ควรจะเป็น และเมื่อเข้าสู่ “New Normal“ ธุรกิจต่างทบทวนวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานขององค์กรนั้นได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในช่วงเวลานี้ ซึ่งการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจอย่างถาวร
รวมถึงการใช้พื้นที่สำนักงานอย่างชาญฉลาดเพื่อรองรับการเว้นระยะห่าง และลดพื้นที่กิจกรรมทางสังคม (Social Distancing) ในสำนักงานของพวกเขา ในขณะที่หลายๆ บริษัท จะยังคงยอมรับการทำงานแบบ Remote Working และในขณะเดียวกันจะมีโครงสร้างพื้นฐานไร้สายแบบใหม่เพิ่มขึ้นราว 13% ในแต่ละปี
และจำนวนของสำนักงานแบบเปิด และ Co–Working Spaces ที่เพิ่มขึ้นจะต้องมีแนวทางเพื่อรองรับสถาปัตยกรรมด้านเครือข่ายทั้งหมด
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจจะต้องการใช้เครื่องมือ ความรู้ และความเชี่ยวชาญ เพื่อสามารถสร้างระบบเครือข่ายใหม่สำหรับวิวัฒนาการในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ของ “New Normal“ สำหรับผู้ที่ทำงานจากระยะไกลและจากทุกอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา
โดยพวกเขาจะต้องหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่สามารถให้คำแนะนำด้วยมุมมองด้านเครือข่ายในอนาคตจะเป็นอย่างไร และไม่เพียงแต่ในแง่ของการสนับสนุนพื้นที่ขององค์กร
แต่ยังรวมถึงพื้นที่สาธารณะและร้านค้าปลีกด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเข้าสู่ “New Normal“ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และ Machine Learning จะถูกนำมาช่วยตรวจสอบตามมาตรการ Social Distancing ผ่านแพลตฟอร์มบนระบบเครือข่าย
วิวัฒนาการของระบบเครือข่ายต้ องเดินควบคู่ไปกับ Digital Transformation
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการวางกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นว่าองค์กรชั้นนำต่าง ๆ กำลังนำระบบเครือข่ายเพื่อมาเปิดใช้โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น Internet of Things (IoT) หรือเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานที่มีอยู่
เช่น ระบบการติดตามทรัพย์สิน (Asset tracking) หรือองค์กรธุรกิจอาจหันไปลงทุนทางด้านเทคโนโลยี เช่น โซลูชั่นการทำงานแบบอัตโนมัติ หรือโรบอทสำหรับงานออฟฟิศ (Robotic Process Automation : RPA) ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการริเริ่มการรูปแบบการทำงานที่ปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัล
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และการให้บริการที่เป็นไปในลักษณะที่คล่องตัวมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลกำลังช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ของทั้งลูกค้า และพนักงานซึ่งจะถูกขับเคลื่อนด้วยระบบเครือข่าย
โดยความคิดริเริ่มเหล่านี้จะถูกกระตุ้นด้วยการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและสอดคล้องไปกับการดำเนินชีวิตแบบ “New norm“ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีของธุรกิจด้านการดำเนินงาน และโครงการลงทุนทางการเงิน
ระบบเครือข่ายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจดิจิทัล ซึ่งจำเป็นต้องมีความแพร่หลาย ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และปลอดภัย เพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจได้อย่างง่ายดายในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มอายุของสภาพแวดล้อมในการใช้งานธุรกิจที่ใช้ระบบเครือข่ายอัตโนมัติระดับสูง
และระบบอัจฉริยะในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และจะสามารถตระหนักถึงประโยชน์ของการดำเนินธุรกิจบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัย
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th