นูทานิคซ์ (Nutanix) เผย ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย เพื่อปรับตัวให้ทันความท้าทายต่าง ๆ…
Nutanix เผย ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย
ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่
ของภู
โดย รายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรของนูทานิคซ์ ซึ่งทำการสำรวจบริษัททั่วโลกเป็นปีที่สาม (ECI report) พบว่า 3 ใน 4 (75%) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตกล่าวว่าโควิด-19 ทำให้ไอทีได้รับการพิจารณาในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น และยังทำให้องค์กรเพิ่มการลงทุนกับระบบคลาวด์อย่างรวดเร็ว
สำหรับประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่มีเป้าหมายภายในปี 2579 ให้ภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย
ไม่ต่ำกว่า 4.5% ต่อปี มีผลิตภาพการผลิตของปัจจัยการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5% ต่อปี และมีการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ และเอกชนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% และ 7.5% ต่อปีตามลำดับ

โควิด-19 เป็นแรงผลักที่เร่งให้นำไฮบริด และมัลติคลาวด์มาใช้เร็วขึ้น
รายงาน ECI ระบุว่า 87% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคการผลิตส่วนใหญ่เชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่ใช้ไฮบริดคลาวด์มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นในปัจจุบัน (ประมาณ 18%)
ผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตยังได้รายงานว่ามีแผนเพิ่มการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าภายในสามปี และจะเพิ่มการใช้งานเป็นประมาณ 52% ภายใน 5 ปี การก้าวกระโดดสู่ความทันสมัยนี้จะพลิกโฉมแนวทางการทำงานแบบเดิม ๆ ของภาคการผลิต
และเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้เร็วขึ้นในทุกบริบทของภาคอุตสาหกรรม แต่การเดินทางสู่ความสำเร็จนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากผู้นำด้านไอทีในอุตสาหกรรมนี้ เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้นำในอุตสาหกรรมต่างมีภารกิจสำคัญในการพิจารณากระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐานต่าง ๆ เสียใหม่
โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้ปกป้องพนักงานจากโรคระบาดด้วยการต้องเว้นระห่างทางสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยังคงรักษาผลการปฏิบัติงาน และผลผลิตไว้ให้ได้ด้วย รายงาน ECI ทำให้เห็นได้ว่าผู้ผลิตต่างเชื่อมั่นว่า ไฮบริด และมัลติคลาวด์จะช่วยการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้ และผู้ตอบแบบสำรวจ กำลังใช้โมเดลนี้ด้วยเหตุผลเพื่อการตอบสนอง
ต่อความต้องการทางธุรกิจได้ดีขึ้น (62%) เพื่อสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีได้ดีขึ้น (60%) และเพื่อให้บริการต่อความจำเป็นต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เร็วขึ้น (53%) เราอยู่ในยุคที่อุตสาหกรรรม 4.0 หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 กำลังดำเนินไป และการเปลี่ยนไปใช้ไฮบริดคลาวด์
จะช่วยทำให้การทำงานหลังบ้านต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นอัตโนมัติ ทำให้ใช้ทรัพยากรไอทีต่าง ๆ น้อยลง และสามารถลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยอื่น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท โตโย ไซกัน กรุ๊ป โฮลดิ้ง ประเทศญี่ปุ่น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไป,
ขวด PET สำหรับเครื่องดื่ม, ออกแบบ และดำเนินงานด้านบรรจุภัณฑ์ และให้การสนับสนุนด้านเทคนิค รวมถึงบริการด้านการจัดการแก่กลุ่มบริษัทต่าง ๆ โตโย ไซกันได้เลือกใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ทดแทนโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่การผลิตอัจฉริยะ โซลูชันของนูทานิคซ์ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงข้อมูล
และแอปพลิเคชันจากระยะไกลได้จากทุกอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสำรองข้อมูล และคงความต่อเนื่องทางธุรกิจในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งยังช่วยเสริมความปลอดภัย และมอบระบบบริหารจัดการแบบอัตโนมัติ
ในภาพรวม โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพไอทีได้ถึง 80% โดยสามารถกู้คืนไฟล์ได้ในเวลาน้อยกว่า 10 นาที จากเดิมใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารายปีลดลง 40% และยังสามารถนำ IoT มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
การเร่งเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล และการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ
แม้จะมีการเร่งผลักดันให้เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ แต่ธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ ตัวเลขจากผลสำรวจ ECI ระบุว่า 15% ของผู้ผลิตทั่วโลกยังคงทำงานอยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมที่ไม่ได้อยู่บนระบบคลาวด์
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคการผลิตจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าธุรกิจในภาคส่วนนี้จะปรับวิธีการผลิตที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การประกอบชิ้นส่วน และการให้บริการหรือส่งมอบผลิตภัณฑ์นั้นให้ถึงมือผู้บริโภค ไฮบริด มัลติคลาวด์มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปช่วยกระบวนการดำเนินงานทั้งหมดได้
ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงระบบซัพพลายเชน การนำกระบวนการอัตโนมัติและเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การนำหุ่นยนต์มาใช้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพอื่น ๆ มากกว่าที่จะต้องมาคอยดูเรื่องปริมาณหรือจำนวนของที่ผลิตได้
การผลิตอัจฉริยะที่มีสถาปัตยกรรมดิจิทัลอยู่เบื้องหลังยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ใช้เพียงเครื่องมือในการผลิตที่เป็นดิจิทัลเท่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจากอุตสาหกรรมนี้จะดำเนินการทุกอย่าง และขจัดการติดตั้งใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมออกไป
เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ โดยผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มการใช้ไฮบริด และมัลติคลาวด์มากกว่า 30% ภายใน 5 ปี ข้างหน้า
โดยข้อมูลจากโครงการศึกษาแนวทางการยกระดับผลิตภาพ และสร้างมูลค่าของภาคเศรษฐกิจไทยด้วยหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ระบุว่า เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล
เป็นปัจจัยความสำเร็จหลักต่อการพัฒนา ทั้งนี้ข้อมูลจากการจัดลำดับปริมาณการใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของ International Federation of Robotic (IFR) สำหรับปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมใหม่จำนวน 2,883 ยูนิต
นอกจากนี้สถาบันวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลการศึกษาการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตจากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,260 สถานประกอบการ โดย พบว่ามีผู้ประกอบการเพียง 4% เท่านั้น ที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด
และเชื่อมโยงการผลิตตลอดซัพพลายเชนผ่านระบบไอที ในขณะที่ 45% มีการนำมาใช้บางจุดของกระบวนการผลิตแต่ยังไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล และ 31% ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการผลิต ซึ่งการที่ธุรกิจในภาคการผลิตยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุถึงขีดความสามารถของอุตสาหกรรม 4.0
ธุรกิจต้องปรับปรุงระบบไอทีให้ทันสมัย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร และพลังงานที่จะใช้ในการ อัปเกรดเครื่องมือทางกายภาพต่าง ๆ ของภาคการผลิต ปัจจุบันมีตัวอย่างหลากหลายที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฮบริดและมัลติคลาวด์คือกลไกดิจิทัลที่ส่งเสริมให้ความพยายามนี้รุดหน้า
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th