Telenor เผย 3 เมกะเทรนด์ หลังยุคโควิด-19 ชี้ Data จะมีบทบาทมากขึ้นในทุกส่วน

เทเลนอร์ (Telenor) เผย 3 เมกะเทรนด์ หลังยุคโควิด-19 ชี้ ดาต้า (Data) จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน การจ้างงาน และความเป็นส่วนตัว ในการก้าวสู่โลกใหม่…

highlight

  • เทเลนอร์ รีเสิร์ช เผย 3 เมกะเทรนด์หลังยุคโควิด-19 ที่ทำให้โลกไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ชี้โครงสร้างพื้นฐานเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทต่อระบบการคัดเลือกในตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะที่ ดาต้า จะเข้ามามีบทบาทต่อการทำนายอนาคต ทั้งด้านสาธารณสุข การพัฒนาเมือง และสิ่งแวดล้อม เหตุโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลในอัตราเร่ง สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

Telenor เผย 3 เมกะเทรนด์หลังยุค โควิด19 

Telenor

กอร์ม แอนเดรีย กรอนเนเวต์ รองประธาน เทเลนอร์รีเสิร์ช กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญอย่างยิ่งของนวัตกรรม และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหา ผลกระทบต่าง ๆ ในช่วงโควิด-19 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อ ทั้งบริษัท ชุมชน และสังคม

ที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างในอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปในโลกยุคความปกติใหม่ (new normal) ทั้งนี้ เทเลนอร์รีเสิร์ช หน่วยงานด้านการวิจัยของเทเลนอร์ ได้วิเคราะห์ และทำนาย 3 เมกะเทรนด์ของโลกอนาคตหลังยุคโควิด-19 ไว้ดังนี้

โครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อการทำงานวิถีใหม่ (New city infrastructure to facilitate a new way of work)

วิกฤต โควิด-19 ได้เปลี่ยนวิถีการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง จากการทำงานออฟฟิศสู่การทำงานที่บ้าน ทำให้ความซับซ้อนที่มากับการทำงานที่ออฟฟิศในรูปแบบเดิมไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ต่อจากนี้ บริษัทหลายบริษัทจะเริ่มให้พนักงานสามารถทำงานได้จากที่บ้านหรือทำงานระยะไกล ทำให้ความสำคัญของอาคารสำนักงานเริ่มน้อยลง

เทเลนอร์รีเสิร์ชคาดว่า การทำงานหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดย โควิด-19 จะมาเร่งให้เกิดเทรนด์การทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลสามารสนับสนุนการจัดสรรทรัพยากรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทาง ดิจิทัล ของเมือง

เพื่อรองรับเทรนด์การทำงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้านและพื้นที่ทำงานร่วมกันหรือ Coworking space และจะทำให้เกิดการกระจายตัวของพนักงานบริษัทไปทั่วทั้งเมือง คนจะเลือกทำงานใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อลดเวลา และทรัพยากรต่าง ๆ ในการเดินทาง ทำให้การปล่อยไอเสียจากเครื่องยนต์น้อยลง

เมืองมีอากาศที่ดีขึ้น ระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานที่ดีขึ้น โดยสรุป โลกยุคหลังโควิด-19 นี้ การเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศจะเริ่มเห็นน้อยลง Coworking space จะมีจำนวนมากขึ้นตามพื้นที่ต่าง ๆ ของเมือง ทำให้เมืองจะมีความเป็นต่อสิ่งแวดล้อม และคนในเมืองมากขึ้น

Telenor

AI เปลี่ยนโฉมการจ้างงาน (Recruitment + AI = Match)

ด้วยมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลทั่วโลกบังคับใช้ในการต่อสู่กับกระแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนหลายล้านคนอยู่ในสภาพตกงาน ขณะเดียวกัน ก็มีงานหลากหลายประเภทที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของโควิด-19 และงานที่ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติ

หลังยุคโควิด-19 การจ้างงานในตลาดแรงงานไร้ฝีมือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแต่เดิมใช้เวลาในการรับสมัคร และคัดเลือกเป็นเวลานาน ตลอดจนปัญหาการพัฒนาทักษะที่มีความจำเป็น ด้วยเหตุนี้ จะทำให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการคัดเลือกแรงงาน และการจ้างงาน

อัลกอริธึ่มจะเข้ามาคัดกรองผู้สมัคร และตำแหน่งที่ไม่สอดคล้อง และจับคู่ผู้สมัคร และเจ้าของกิจการที่มีความต้องการตรงกัน โดยใช้ข้อมูลประวัติภูมิหลังของทั้งผู้จ้างงานและผู้สมัครงาน ความเร็ว และความถูกต้องของ AI ไม่เพียงลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการหางานเท่านั้น

แต่ยังช่วยลดอัตราการลาออก (turnover) อีกด้วย เพราะด้วยความสอดคล้องกันของข้อมูลทั่ง 2 ฝ่ายที่มากขึ้นจากการใช้ เอไอ โดย เอไอ จะเข้ามาช่วยแรงงานเหล่านี้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกต่อถึงทักษะที่ควรได้รับการพัฒนาเพื่อการแข่งขันของตลาดแรงงานในอนาคต

ทำให้พวกเขาสามารถปรับตัวให้เป็นที่น่าสนใจ และสร้างความแตกต่างในตลาดแรงงาน เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการถูกจ้างงานในอนาคต

Telenor

ดาต้าเพื่อชีวิต (Crowd movements to the rescue)

ดาต้าจะเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในการต่อสู้กับโรคระบาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลของผู้คนเข้ามาใช้ประโยชน์ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงด้าน ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้งานเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ ทำให้อนาคตของการใช้ดาต้าเพื่อทราบถึงรูปแบบการแพร่ระบาดเชื้อโรคหรือไวรัส จะมาในรูปแบบข้อมูลรวมที่ไม่ระบุตัวตนแทนที่ข้อมูลตำแหน่งของแอปพลิเคชัน (App location) โดยจากบทความของ Harvard Business Review ระบุว่า ข้อมูลทางด้านโทรคมนาคม

สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่องานด้านสาธารณสุขได้อย่างมีความรับผิดชอบและไม่ล่วงล้ำต่อประเด็นด้านความเป็นส่วนตัว โดยล่าสุด ได้มีการใช้ข้อมูลสัญญาณมือถือมาใช้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในนอร์เวย์ และเดนมาร์ก

ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้มีการใช้ข้อมูลมือถือในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อมาลาเรีย และไข้เลือดออกในปากีสถาน และบังคลาเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าข้อมูลมือถือสามารถนำมาใช้ทำนายทางด้านระบาดวิทยาได้อย่างแม่นยำ ทำให้รัฐบาล และหน่วยงานสาธารณสุขนำข้อมูลมาตัดสินใจออกมาตรการทางด้านสาธารณสุขได้อย่างแม่นยำขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการทำนายรูปแบบการเคลื่อนที่จะเป็นในลักษณะข้อมูลรวม และไม่ระบุตัวตน เพื่อทราบถึง รูปแบบ การเคลื่อนที่โดยรวม ทำให้ผู้ใช้มือถือมั่นใจได้ว่าความเป็นส่วนตัวจะได้รับการคุ้มครอง

ทั้งนี้ การนำข้อมูลมือถือมาทำนายรูปแบบการเคลื่อนไหวของผู้คนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการวางผังเมืองอัจฉริยะ การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม และช่วยเหลืออุตสาหกรรมอื่นๆ ให้เข้าสู่สถาวะปกติหลังยุคโควิด-19 เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

Telenor

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกนั้นได้ทำให้พวกเราทุกคนต้องคิดนอกกกรอบและเปลี่ยนวิถีการทำงานของพวกเราในอัตราเร่ง ซึ่งรวมไปถึงวิถีในการให้บริการลูกค้าและบทบาทต่อการพัฒนาสังคม พฤติกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป

ดังนั้น รัฐบาลและผู้นำองค์กรจึงควรพิจารณาว่าอะไรควรหยุด และอะไรควรริเริ่มพัฒนาต่อเพื่อเร่งให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงหลังยุคโควิด-19

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th