ทำไมเทรนด์ของ Smart Home จึงกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนพูดถึง และทำไมผู้ผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่าง แอลจึ จึงต้องใส่ เอไอ (AI) เพิ่มมากขึ้น ถ้าอยากรู้เรามีคำตอบ…
highlight
- ปี พ.ศ.2560 เมื่อ แอลจีได้เปิดตัว Artificial Intelligence Lab หรือแล็บ เอไอ ในกรุงโซลอย่างเป็นทางการเพื่อรวบรวมผลการวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับหลากหลายเทคโนโลยีเอไอ
- แอลจี จับมือ Google Assistant และ Amazon Alexa พัฒนาการใช้งาน เอไอ ร่วมกัน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับชีวิตได้อย่างไร้รอยต่อ และเปิดโอกาสไปสู่ระบบนิเวศแหล่งนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง
ทำไมแอลจีถึงให้ความสำคัญกับบ้านอัจฉริยะต้องที่มี AI?
เทรนด์ของบ้านอัจฉริยะกับการนำ เอไอ มาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นแนวคิดที่แอลจีให้ความสำคัญในอันดับต้น ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทาง แอลจีเองก็ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลว่าทำไมจึงให้ความสำคัญต่อเรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาผนวกเอาไว้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของแอลจี
โดยทางแอลจีได้เปิดเผยว่าการพัฒนาเทคโนโลยี เอไอ ในผลิตภัณฑ์ของตนนั้นเริ่มต้นขึ้นภายใต้นวัตกรรม LG ThinQ ที่เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ.2560 เมื่อ แอลจีได้เปิดตัว Artificial Intelligence Lab หรือแล็บ เอไอ ในกรุงโซลอย่างเป็นทางการเพื่อรวบรวมผลการวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับหลากหลายเทคโนโลยีเอไอ
ที่มีความสามารถในการจดจำ คาดการณ์ และเรียนรู้จากเสียง วิดีโอ และเซ็นเซอร์ ซึ่งแล็บแห่งนี้มีบทบาทในการพัฒนาเครื่องปรับอากเครื่องแรกของโลกที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบ เพื่อปรับการทำงานให้เหมาะสม รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะอื่น ๆ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าและหุ่นยนต์ดูดฝุ่น
โดย ภายใต้ LG ThinQ นี้ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการที่ใช้งาน เอไอ ทั้งหมดมีความสามารถในการเรียนรู้เชิงลึก และเชื่อมต่อสื่อสารกันเองระหว่างผลิตภัณฑ์ จากการใช้งานเทคโนโลยี เอไอ ที่หลากหลายจากพันธมิตรอื่นๆ และ DeepThinQ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี เอไอ ของแอลจีเอง
โดตตั้งแต่ในปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมาทาง แอลจี ประกาศอย่างชัดเจนว่ามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคภายใต้ปรัชญา “แพลทฟอร์มแบบเปิดรับ ความร่วมมือแบบเปิดรับ และการเชื่อมต่อแบบเปิดรับ” (open platform, open partnership and open connectivity) ด้วยการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
ผ่านเทคโนโลยี เอไอ แบบเปิดรับ เช่น การสร้างสรรค์แพลทฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน การพัฒนาการใช้งาน เอไอ ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Google Assistant และ Amazon Alexa และการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดระหว่างผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบผู้บริโภคสามารถควบคุมการใช้งานได้ยิ่งขึ้น และความสะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก
ซึ่งต่อมาถูกพัฒนาเป็นแนวคิด “พัฒนา–เชื่อมต่อ–เปิดรับ” (Evolve, Connect, Open) ในปี พ.ศ. 2562 โดยเสริมศักยภาพของเทคโนโลยี เอไอ เพื่อเปลี่ยนทุกมุมของชีวิตด้วยการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับชีวิตได้อย่างไร้รอยต่อ และเปิดโอกาสไปสู่ระบบนิเวศแหล่งนวัตกรรมที่แข็งแกร่งขึ้นผ่านความร่วมมือต่าง ๆ
ในปัจจุบัน แอลจียังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคต โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการใช้งาน เอไอ ที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ที่เกิดจากการที่อุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือฟังก์ชั่นของระบบใดระบบหนึ่งถูกควบคุมผ่านช่องทางเดียวได้
เช่น ผ่านระบบการจดจำเสียง ระดับที่สองคือการปรับประสิทธิภาพการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการส่วนบุคคล (Personalization) ผ่านการเรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อปรับฟังก์ชั่นการทำงานของอุปกรณ์ให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ระดับที่สามคือ การใช้เหตุผล (Reasoning) ในการสังเกตถึงสาเหตุของการเกิดรูปแบบการใช้งาน
และพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์ และนำเสนอผลลัพธ์เชิงบวกให้กับผู้ใช้ และระดับสุดท้ายกับการสำรวจ (Exploration) ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนา เอไอ ของ แอลจี โดยเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์ ระบบต่างๆ ที่ถูกขับเคลื่อนโดย เอไอ จะสามารถพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ
ผ่านการสร้างและทดสอบสมมติฐานต่าง ๆ นำไปสู่ข้อสรุปใหม่ ๆ เปิดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เผื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน “Innovation for a Better Life“ ของแอลจีนั่นเอง
ล่าสุด บ้านอัจฉริยะของ แอลจี จึงเน้นการนำนวัตกรรมอันล้ำสมัยของ LG ThinQ ที่เชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านต่างๆ ผ่านเทคโนโลยี เอไอ เสริมการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น เริ่มจาก LG Smart Door ที่ยืนยันตัวตนของผู้ใช้ผ่านระบบการจดจำใบหน้า ควบคู่กับระบบการยืนยันตัวตนด้วยเส้นเลือดดำ
ลำโพงอัจฉริยะที่สามารถใช้งานร่วมกับ Google Assistant และ Alexa เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านการสั่งงานด้วยเสียงได้อย่างสะดวกสบาย เครื่องซักผ้าแอลจีระบบ เอไอ DDTM ที่ช่วยคำนวณวงจรการซักที่เหมาะสมด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะเนื้อผ้า
และยังสามารถสั่งงานล่วงหน้าผ่านอินเทอร์เน็ต ตู้เย็น InstaView Door-in-Door ที่สามารถตรวจสอบวันหมดอายุของอาหารสดแต่ละชนิดภายในตู้เย็น พร้อมนำเสนอสูตรอาหารต่างๆ ที่ประกอบด้วยวัตถุดิบนั้นๆ และยังสามารถสั่งงานเตาอบให้ตั้งค่าตามสูตรอาหารเหล่านั้นได้โดยตรง
เครื่องปรับอากาศที่สามารถตรวจสอบจำนวนผู้คนที่อยู่ในห้องเพื่อปรับการกระจายอากาศให้เหมาะสม โดย LG ThinQ ยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้และปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้เหมือนกับที่เคยสั่งงานครั้งก่อนได้ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ (LG HomBot) ที่สามารถสั่งงานให้เริ่มทำความสะอาดเมื่อออกจากบ้านผ่านการตั้งค่าระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ
หรือแม้กระทั่งสมาร์ททีวีที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการสั่งงานด้วยเสียงที่ถูกพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในความเข้าใจถึงบริบทของการสั่งงานของผู้ใช้ที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่กำลังเล่นอยู่บนทีวี เช่น การสอบถามถึงสถานที่ตั้งของฉากหรือแบรนด์เสื้อผ้าที่นักแสดงสวมใส่ในภาพยนตร์ที่กำลังรับชม เป็นต้น
ทั้งหมดนี้แอลจีได้นำมาจัดแสดงผ่านบ้านจำลองให้ผู้ใช้งานทั่วโลกได้สัมผัสภายในงานแสดงเทคโนโลยีระดับโลกทั้ง LG InnoFest ในปีที่แล้วและ CES เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์บางส่วนก็ได้เข้ามาในตลาดไทยให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์ของบ้านอัจฉริยะกันแล้ว
ซึ่งพวกเราคงต้องรอติดตามว่าในปี 2020 กับการมาของ 5G นี้ แอลจีจะนำนวัตกรรมทั้ง IoT และ AI มาเสริมความเป็นบ้านอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นอย่างไร
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th