ASEFA x Schneider Electric พร้อมรุกตลาดพลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์

ASEFA

อาซีฟา (ASEFA) ร่วมมือกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) รุกตลาดโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์

highlight

  • อาซีฟา ร่วมกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จัดงาาน Partner of the Future โชว์ศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่คาดว่าจะโตขึ้นกว่า 4 เท่า ภายใน 3 ปี จากการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้งานศูยน์ข้อมูลเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบจ่ายพลังงานที่เชื่อถือได้รับความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันโดยไม่มีปัญหา เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการใช้งานในการประมวลผลข้อมูล พร้อมโชว์อาคาร และโรงงานผลิตใหม่ที่ทุ่มงบกว่า 450 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ASEFA x Schneider Electric โชว์ความพร้อมในการรุกตลาดพลังงานในยุค Data Center & AI บูม!!

ASEFA
ไพบูลย์ อังคณากรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน)

ไพบูลย์ อังคณากรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 27 ปี อาซีฟา มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในโซลูชันด้านการจ่ายพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าที่รองรับแรงดันของกระแสไฟฟ้า

ทั้งแบบแรงดันไฟฟ้าปานกลาง (Medium Voltage) หรือ แรงดันไฟฟ้าต่ำ (Low Voltage) และยังรวมถึงการผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์ควบคุมพลังงานภายในอาคารทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็น อาคารสำนักงาน, โรงงานอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ และยังรวมไปถึงระบบ Power System ใน ดาต้า เซ็นเตอร์

โดยปัจจุบันในฐานะของพาทเนอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มาตลอด 21 ปี พร้อมแล้วที่จะรองรับการขยายตัวของตลาด ดาต้า เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ทุกระดับ ตั้งแต่ เอจด์ ดาต้า เซ็นเตอร์ (Edge Data Center) ไปจนถึง ดาต้า เซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่ขององค์กร

รวมถึงโคโลเคชัน และ ดาต้าเซ็นเตอร์ สำหรับ AI ด้วยโซลูชันด้านพลังงานที่หลากหลาย มุ่งเน้นมาตรฐานคุณภาพระดับสากล ด้วยโซลูชั่นที่ครอบคลุมการใช้งาน ดาต้า เซ็นเตอร์ รูปแบบใหม่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นตั้งแต่ 10 จนถึง 100 เมกะวัตต์

ASEFA

ซึ่งปัจจุบัน อาซีฟา ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารผลิตใหม่ เพื่อเสริมกระบวนการผลิตให้ทันสมัยรองรับคามต้องการใช้งานระบบบริหารจัดการพลังงานภายใน ดาต้า เซ็นเตอร์ ที่จะเกิดขึ้นจากการเติบโตขอการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) ในปัจจุบัน โดยในการลงทุนยังรวมถึงการสร้าง

ศูนย์ฝึกอบรมเพิ่มทักษะทางด้านเทคโนโลยใหม่ให้แก่พนักงานของ อาซีฟา ตั้งแต่ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้บริการติดตั้ง ดูแล และซ่อมบำรุง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ อาซีฟา พร้อมที่จะส่งมอบนวัตกรรมที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถใช้ ดาต้า เซ็นเตอร์ ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพได้ในโลกดิจิทัล

และพร้อมการบริการแบบครบวงจร และความใส่ใจในความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการเชื่อมต่อที่ไร้ขอบเขตในอนาคต โดยแนวคิดหลักของ อาซีฟา ในการส่งมอบระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับ ดาต้า เซ็นเตอร์ ให้กับลูกค้าประกอบด้วย 4 แนวคิด หลักในการช่วยลูกค้า ได้แก่

  • การส่งมอบนวัตกรรมที่มีความเชื่อถือได้ เพื่อรองรับการทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง
  • ต้องมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น และรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียน
  • การตอบสนองความต้องการที่จำเป็น มีโซลูชันที่ยืดหยุ่น และปรับเพิ่มได้โดยไม่ยุ่งยาก เพื่อรองรับความต้องการของดาต้าเซ็นเตอร์ทุกขนาด
  • มีความยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลก โดยผลิตภัณฑ์ที่เลือกติดตั้งให้กับลูกค้ามุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคาร์บอนต่ำ

“ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาซีฟา ภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันพลังงาน และระบบอัตโนมัติ ความร่วมมือนี้ช่วยเสริมศักยภาพของอาซีฟาในการพัฒนา และส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนสำหรับตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล

ด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ว่าจะเป็น ตู้สวิตช์บอร์ด BlokSeT และ ตู้สวิตช์เกียร์ MV รุ่น PIX ที่ทางเราได้รับลิขสิทธิ์ในการผลิต รวมถึงซอฟต์แวร์ Building Management Systems (BMS) ฯลฯ

มาผสานกับความเชี่ยวชาญของอาซีฟาในการออกแบบ ติดตั้ง และดูแลระบบไฟฟ้า ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์ทุกประเภท” ไพบูลย์ กล่าว

ASEFA
เผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ด้าน เผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า เรามองเห็นศักยภาพของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT และเศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเติบโต

ซึ่งความร่วมมือระหว่าง อาซีฟา และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะช่วยผลักดัน และสนับสนุนการลดการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กรนอกจากนี้ด้วย เทคโนโลยีตู้สวิตช์บอร์ด BlokSeT ตู้สวิตช์เกียร์ MV รุ่น PIX รวมถึงซอฟต์แวร์ BMS

จาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยสร้างความยั่งยืนในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดการสูญเสียพลังงานในระบบต่างๆ โดย BlokSeT ช่วยควบคุมการกระจายพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในดาต้าเซ็นเตอร์ รองรับเทียร์ (Tier) ด้านการจ่ายพลังงานได้ถึงเทียร์ 4

ขณะที่ BMS ช่วยจัดการพลังงานในอาคารที่มีดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างชาญฉลาดด้วยการตรวจสอบ และควบคุมระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความเสถียร และความปลอดภัยในดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานที่ยั่งยืนโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบในอนาคต

โดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้ร่วมจัดงานกับ อาซีฟา จัดงานสัมมนาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ และองค์ความรู้ด้าน AI ดาต้า เซ็นเตอร์ อย่างครบวงจร อย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของเทรนด์ เทคโนโลยีด้าน ดาต้า เซ็นเตอร์ล่าสุด

อาทิ EcoStruxure ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งแบบโมดูลา และแบบ prefabricated รวมถึงเทคโนโลยี UPS ที่มีคุณสมบัติ high density สูงสำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ และ UPS อื่นๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละความต้องการด้านโครงสร้างไอที นวัตกรรมระบบทำความเย็นหลากหลายรูปแบบ ฯลฯ

Data Center ยุคใหม่ ที่คาดว่าจะเติบโต 34 เท่า จะส่งกระทบต่อโครงสร้างราคาพลังงาน

“ตลาด ดาต้า เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย ภายใน 3 ปี นับจากนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมีปัจจัยเร่งที่สำคัญคือการเติบโต และใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวจะส่งผลทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงาน

อย่างมหาศาลภายใน ศูนย์ข้อมูล หรือ ดาต้า เซ็นเตอร์ (Data Center) ผนวกกับอย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันมีผู้ให้บริการ ดาต้า เซ็นเตอร์ ชั้นนำมากกว่า 10 ราย ทั้ง ขนาดเล็ก, ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ให้ความสนใจ และพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เรื่องของการหาบริการ และโซลูชั่น

ในการบริหารจัดการพลังงานภายในศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งส่งผลต่อการให้บริการ ซึ่งหากมีอุปกรณ์ และโซลูชั่นที่สามารถจัดการพลังงานภาพใน ดาต้า เซ็นเตอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะสามารถช่วยลดต้นทุนจลงได้ประมาณ 4-5% (ขึ้นอยู่กับขนาดศูนย์ข้อมูล)

โดยปัจจุบัน อาซีฟา คาดว่า ดาต้า เซ็นเตอร์ ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างน้อย 3-4 เท่า และมีมูลค่ากว่า  3,500 ล้านบาท ซึ่ง อาซีฟา ได้ตั้งเป้าหมายที่จะได้มีสัดส่วนให้ได้ 30% ภายในปี 68 นี้ จากเดิมที่สามารถครองสัดส่วนได้กว่า 10% ซึ่งจากแผนการลงทุนทั้งการยกระดับการผลิต และแผนพัฒนาบุคลากร

ที่มี่อยู่กว่า 2,500 คน ซึ่งเป็นทีมวิศวกรกว่า 1,300 คน จะทำให้ อาซีฟา พร้อมรองรับการเติบโตของตลาดได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ อาซีฟา เองถือเป็นผู้เชี่ยวขาญที่เข้าใจเทคโนโลยีของ ชไนเดอร์ อย่างแท้จริง เพราะเราไม่ใช่เพียงพาทเนอร์ผู้ผลิต และติดตั้งในแค่ลูกค้า แต่เราเองก็ใช้งานด้วยเช่นกัน” ไพบูลย์ กล่าวเสริม

ASEFA

เผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ในประเทศไทย วันนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ตั้งแต่ระดับนโยายของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจได้อย่างมาก

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A

สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th

ITDay