Banpong Tapioca ประกาศความสำเร็จหลัง Disrupt ก้าวสู่ Texture Solution

Banpong Tapioca

บ้านโป่ง ทาปิโอก้า (Banpong Tapioca) ประกาศความสำเร็จหลัง Disrupt บริษัทฯ ก้าวสู่ Texture Solution ของแป้งมันสำปะหลัง…

highlight

  • บริษัท บ้านโป่ง ทาปิโอก้า จำกัด บริษัทครอบครัวที่ Disrupt ตัวเองผ่านการทรานฟอร์มธุรกิจ เปลี่ยนโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังอายุครึ่งศตวรรษ เป็น Texture House Company ให้บริการ Texture Solution เพื่อเข้าไปช่วยแก้ Pain Points ให้กับทุกอุตสาหกรรมที่มีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อสัมผัส โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการพัฒนา Carbohydrate-based ingredients Solution ป้อน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมยา และ กลุ่มอุตสาหกรรมกระดาษ
  • พร้อมกับรุกตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ รองรับการเติบโตของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เปิดตัวผลิตภัณฑ์แป้งนวัตกรรมสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์บ้านโป่งฟูจิซัง เจาะตลาด SMEs และไลฟ์สไตล์ เผยขับเคลื่อนธุรกิจบนพื้นฐานการวิจัย และพัฒนา นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อบริหารจัดการกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ภายใต้กระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน 

Banpong Tapioca ประกาศความสำเร็จหลัง Disrupt ก้าวสู่ Texture Solution

Banpong Tapioca

ประสิทธิ์ สุขสมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบ้านโป่งทาปิโอก้า จำกัด กล่าวว่า เกิดขึ้นจากการทรานฟอร์มธุรกิจดั่งเดิมของครอบครัว คือ บริษัทอุตสาหกรรมแป้งมันบ้านโป่ง จำกัด ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1973 หรือ 50 ปีที่ผ่านมา เพื่อแปรรูปมันสำปะหลังเป็นแป้งมันสำปะหลัง

ส่งขายทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับ ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง ในประเทศไทยที่มีมากกว่า 80 บริษัท

“เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เรามีการหารือกันในกลุ่มผู้บริหาร เกี่ยวกับวิสัยทัศน์และทิศทางการเติบโตของบริษัทในอนาคต ว่าจะส่งต่อให้กับทายาทรุ่นต่อไปอย่างไร ซึ่งก็ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่าหากอยากจะเติบโตมากกว่านี้ เราจะคิดและทำแบบเดิมเดิม เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการ Disrupt ตัวเองของเรา

จนกระทั่งเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว บริษัทก็ได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ในการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี และสร้างโรงงานใหม่ เพื่อเริ่มต้นผลิตแป้งสำหรับ Food Texture Solution ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท”

Banpong Tapioca

Banpong Tapioca

นายแพทย์สมิทธิ์ สุขสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายงานนวัตกรรม บริษัทบ้านโป่งทาปิโอก้า จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันบ้านโป่งทาปิโอก้า มีพนักงานจำนวน 550 คน ในจำนวนนี้ เป็นพนักงานในส่วนของ R&D ประมาณ 45 คน มีโรงงาน 11 แห่ง มีลูกค้ากว่า 200 ราย กระจายอยู่ใน 21 ประเทศทั่วโลก

โดย มีโรงงานหลักอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดหวัดราชบุรี กลายเพิ่มจำนวนโรงานผลิตรวมเป็น 11 แห่ง เนื่องจากต้องการตอบสนองความต้องการของตลาดมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น

Banpong Tapioca

“ในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่า บ้านโป่ง ทาปิโอก้า มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยยอดขายรวมในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาก สูงกว่าการดำเนินธุรกิจในช่วง 30 ปี แรกของบริษัท ซึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าของสินค้าที่ขายนั้นเพิ่มขึ้นจากการขายแป้งมันแบบดังเดิมหลายเท่าตัว

ซึ่งในวันนี้แป้งมันแบบดั่งเดิมที่เคยเป็นสินค้าหลักของบริษัทมา กว่า 40 ปี มีมูลค่าเหลือเพียง 10% ของยอดขายรวมทั้งหมด ทำให้เรามีความมั่นใจว่าเดินมาถูกทางแล้ว นอกจากนี้ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ยังคงมีเป้าหมายเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังยังต่อเนื่องโดยวางงบ 2% จากรายได้ทั้งหมดเพื่อวิจัย และพัฒนา (R&D)”

Banpong Tapioca

ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา บ้านโป่ง ทาปิโอก้า สามารถสร้างรายได้มากถึง 1,763 ล้านบาท ซึ่งเป็น อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Cagr Growth) มากถึง 15.18โดยมีสัดส่วนรายได้จากภายในประเทศ 30และจากตลาดในต่างประเทศ 70% ซึ่งมีตลาดสำคัญ ๆ อยู่ที่ 3 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และตุรกี

จากแนวทางที่ที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อนื่อง และใช้ประโยชน์จากมันสำปะหลังในทุกส่วน ควบคู่กับการขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ ทำให้เชื่อว่า บ้านโป่ง ทาปิโอก้า จะสามารถสร้างรายได้ไปแตะ 2,281 ล้านบาท ได้ไม่ยาก และคาดว่ากว่า 650 ล้านบาท จะมาจากกลุ่ม Nutrition & Lifestyle 

Banpong Tapioca

โดยเฉพาะ กลุ่มอุตสาหกรรมยา (Pharma Industry) ที่พัฒนาแป้งที่นำไปเป็นส่วนผสมในยารักษาโรคนั้นปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ได้พัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังอยู่ในส่วนการทดสอบกับมนุษย์ และยื่นขอในอนุญาตในการวางจำหน่าย ซึงเมื่อแล้วเสร็จคาดว่าจะเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สามาถสร้างรายได้ให้ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ได้

Banpong Tapioca

ปัจจุบัน บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ผลิตสินค้าเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าใน 3 กลุ่มตลาด ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร (Food Industry) โดยการพัฒนาเนื้อสัมผัสในธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความนุ่ม แน่นเนื้อ กรอบ แข็ง เปราะ ฉ่ำ เนียน หยาบ เหนียว และ ความเป็นเส้นใย เป็นต้น

Banpong Tapioca

กลุ่มอุตสาหกรรมยา (Pharma Industry) ได้แก่การพัฒนาแป้งที่นำไปเป็นส่วนผสมในยารักษาโรค ตลอดจนนำไปใช้กลุ่ม Specialized Nutrition Need อย่างเช่น อาหารด้านสุขภาพ อาหารทดแทน รวมไปถึงอาหารทางการแพทย์ หรืออาหารเฉพาะสำหรับผู้ป่วยในกลุ่มต่าง ๆ อาทิ ผู้ป่วยโรคไต เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ  

Banpong Tapioca

กลุ่มอุตสาหกรรมกระดาษ (Paper Industry) โดยพัฒนาแป้งให้มีคุณสมบัติ เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในขั้นตอนการขึ้นรูป เพิ่มความแข็งแรง และการเคลือบผิวหน้ากระดาษ เป็นต้น

Banpong Tapioca

บ้านโป่ง ทาปิโอก้า กรุงเทพฯ คือ ศูนย์กลางการให้บริการ และแลปวิจัย

Banpong Tapioca
ปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้จัดการส่วนงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทบ้านโบ่งทาปิโอก้า จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3

ปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้จัดการส่วนงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทบ้านโบ่งทาปิโอก้า จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3 ของบริษัทกล่าวเสริมว่า สิ่งที่ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ต้องการสื่อสารกับตลาด และส่งมอบให้กับลูกค้า ไม่ใช่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแปรรูปมันสำปะหลัง แต่เป็นการนำเสนอองค์ความรู้ด้านโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต

ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อสัมผัสให้กับผลิตภัณฑ์ของลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม การตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ ของบริษัทในวันนี้ ก็เพื่อรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำร่วมกับลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ โดยสำนักงานในกรุงเทพของบริษัท จะเป็นศูนย์กลางการให้บริการ ตลอดจนเป็นที่ตั้งของแลปวิจัย

Banpong Tapioca

สถานที่ทำเวิร์กช็อปท์ ระหว่างบริษัทกับลูกค้าหรือ ระหว่างบริษัทกับตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ใน 20 ประเทศ เพื่อนำโจทย์หรือปัญหาเกี่ยวกับเนื้อสัมผัสมาศึกษา และมองหาโซลูชั่นในการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ยังได้พัฒนาแป้งนวัตกรรมสำเร็จรูปที่เข้าไปตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs

และไลฟ์สไตล์ ของผู้บริโภคยุคใหม่ ภายใต้แบรนด์บ้านโป่งฟูจิซัง ซึ่งสินค้าในรูปแบบดังกล่าวนอกจากเพื่อการทดลองและเปิดตลาดใหม่ ๆ แล้ว ยังใช้เป็นสื่อกลางในการให้ความรู้กับตลาด และเป็นสะพานเชื่อมให้กลุ่มเป้าหมาย หรือ ธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชั่นที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องเนื้อสัมผัส สามารถเข้าถึงบริษัทได้ง่ายขึ้น

Banpong Tapioca

ด้าน กิตติ สุขสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายซัพพลายเชน บริษัทบ้านโป่งทาปิโอก้า จำกัด กล่าวเสริมว่า ในการผลิตแป้งนวัตกรรมชั้นสูงของบ้านโป่งทาปิโอก้านั้น นอกจากการทุ่มเทพัฒนา และวิจัยอย่างต่อเนื่องในห้องแลปแล้ว บริษัทก็ยังให้ความสำคัญต่อตัววัตถุดิบที่นำมาผลิตไม่น้อยไปกว่ากัน

เพราะวัตถุดิบที่ดีจะช่วยเสริมให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทใช้ มันสำปะหลังสายพันธุ์พิเศษ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตแป้งลูเซนท์ (LUCENT) ชนิดต่าง ๆ ซึ่งจุดเด่นของมันสายพันธุ์พิเศษนี้เมื่อมาบวกกับการวิจัยของ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า ทำให้ได้แป้งที่ผลิตออกมามีคุณสมบัติเทียบเท่ากับแป้งจากมันฝรั่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวัตถุดิบราคาแพง

“ปัจจุบันเรามีการส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายปลูกมันสายพันธุ์พิเศษ และรับซื้อในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด 150% ผ่านรูปแบบคอนแทร็กฟาร์มมิ่งผ่านแพลตฟอร์ม Banpong Agritech (Big Data Usage) โดยเกษตรกรที่เข้ามาเป็นสมาชิกภายใต้เครือข่ายดังกล่าว จะได้รับการดูแลจากบริษัท อย่างครบวงจร

เริ่มตั้งแต่ การเพาะท่อนพันธุ์ ให้กับเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ในการปลูก ระหว่างทางก็จะมีผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยดู และให้คำปรึกษา จนกระทั่งถึงช่วงของการเก็บเกี่ยว ขนส่ง ผลผลิตเข้าสู่โรงงาน ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวนอกจากจะเข้ามาช่วยลดภาระของเกษตรกรแล้ว ยังจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสได้เข้ามาควบคุมคุณภาพการเพาะปลูกได้โดยตรง

โดยเกษตรเองก็สามารถเข้ามาดู เพื่อนำไปวางแผนในการเพาะปลูกได้อีกด้วย ขณะที่ บ้านโป่ง ทาปิโอก้า เองก็สามารถนำมาใช้ในการวางแผนการผลิตภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังได้เริ่มมีการวิจัย และพัฒนาวัตถุดิบทางการเกษตร ในกลุ่มธัญพืช เพื่อนำมาพัฒนาเป็นแป้งที่มีมูลค่าสูง อย่างเช่นถั่วเขียว ถั่วขาว และข้าว เป็นต้น”

อย่างไรก็ดีกระบวนการเก็บข้อมูลลงใน แพลตฟอร์ม Banpong Agritech นั้นจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง และเกษตรกร จะยังไม่ใช่การใช้เซ็นเซอร์จกอุปกรณ์ IoT เนื่องจาก บ้านโป่ง ทาปิโอก้มองเห็นถึงอุปสรรคสำคัญในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว อาทิ ตัวอุปกรณ์ยังคงมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ และพื้นที่ในการเพาะปลูกที่กว้างทำให้ดูแลรักษาได้ยาก

Banpong Tapioca

ตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ บริษัทบ้านโป่งทาปิโอก้า เรายังให้ความสำคัญกับการผลิตที่คำนึงถึงความยั่งยืนตามหลักของ BCG Model ดังจะเห็นได้ว่าในกระบวนการแปรรูปมันสำปะหลังของบริษัทไม่มีส่วนใดที่เหลือทิ้งเลย ทุกส่วนของมันสำปะหลังนำมาใช้หมุนเวียน และเพิ่มมูลค่าในระบบเศรษฐกิจภายในชุมชน

และบางส่วนก็แปลงกลับมาเป็นรายได้ให้กับบริษัท เช่น มีการใช้ประโยชน์จากน้ำเสียเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ ส่วนกากมันสำปะหลังขายเพื่อเป็นอาหารสัตว์ หรือแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรนำไปเพาะเห็ด รวมถึงนำไปวิจัย และพัฒนาเป็นสินค้าในกลุ่มไลฟ์สไตล์

เช่น ทรายแมวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรวมแล้วในแต่ละปีบริษัทมีรายได้จากการนำของเหลือใช้ไปเพิ่มมูลค่าปีละประมาณ 23% ของยอดขาย รวมถึงยังมีรายรับจากการขายคาร์บอนเครดิตปีละกว่าหนึ่งล้านบาท

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A

สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th

ITDay