โลตัส คาร์ (LOTUS Car) เปิดตัว LOTUS ELETRE ไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมสมรรถนะเร็วแรงสุดเร้าใจ แและฟีเจอร์ความสะดวกสบายเหนือระดับ…
LOTUS เปิดตัว LOTUS ELETRE ไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้า 100% เพิ่มทางเลือกให้ตลาด EV Car
โลตัส (LOTUS) แบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ยื
และดีไซน์ที่
ซึ่งเกิ
โดย Eletre เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติผ่
และเทคโนโลยีโครงแชสซี สมรรถนะการขับขี่ การควบคุม และประสิทธิภาพด้
ล้อขึ้นรูปขนาด 23 นิ้วแบบ 5 ก้านพร้อมเคลือบผิวแบบ Diamond-turned (รุ่นมาตรฐานในตลาดเมื
เทคโนโลยีแสดงผลบนกระจกหน้
Eletre S : ตอบโจทย์ความหรูหราเพื่อไลฟต์ สไตล์ที่แตกต่าง
นอกจากระบบมาตรฐาน ยังครบครันด้วยฟีเจอร์อื่น ๆ อาทิ การปิดประตูแบบนุ่มนวล, กระจกเคลือบดำเพิ่มความเป็นส่
Eletre R : รุ่นแฟล็กชิฟที่เน้นประสิทธิ ภาพและการขับขี่ที่เร้าใจ
ติดตั้ง Lotus Dynamic Handling Pack (ประกอบด้วย Intelligent Active Roll Control และ Active Rear Steering) แพ็กเกจชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ Carbon Pack, ยางสมรรถนะสูงรุ่น Pirelli P Zero และการเคลือบสีล้อโทนดำเงา พร้อมเพิ่มโหมดการขับขี่แบบที่ 6 คือ Track Mode สำหรับสนามแข่ง
ซึ่งจากการทดสอบสมรรถนะสุดโหด ซึ่งรวมถึงที่สนาม Nürburgring ปรากฏว่า Eletre R คือเอสยูวีระบบไฟฟ้า 100% แบบสองมอเตอร์ที่เร็วที่สุ
โดยชาร์จไฟจาก 10-80% ในเวลาเพียง 20 นาที หรือชาร์จเพียง 5 นาทีก็สามารถวิ่งได้ไกลถึง 120 กม. (ราว 74 ไมล์) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่
นอกจากนี้ ยังมีจอแสดงผลแบบ Head-up Display ขนาด 29 นิ้ว ในรูปแบบจอเสมือนบนกระจกหน้าที่
เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่
ซึ่งรวมถึงชุดเบาะนั่ง Executive Seat Pack, ชุดเบาะนั่ง Comfort Seat Pack, อุปกรณ์เสริมคาร์บอนไฟเบอร์, ชุดตกแต่งภายในด้วยคาร์
โดยเวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย เปิดรับออเดอร์ รุ่น Eletre S ราคา 5,890,000 และ Eletre R ราคา 6,590,000 บาท กำหนดเริ่มส่งมอบรถตั้งแต่

ธีรพงศ์ รอดลอย ผู้จัดการส่วนภูมิภาค บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนจำหน่าย และให้บริการหลังการขายรถยนต์โลตัสอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ รู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอ Eletre สุดยอดไฮเปอร์เอสยูวีสู่นักขับชาวไทย
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการยานยนต์สมรรถนะสูงที่ใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์มากขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวันและการเดินทางพักผ่อนในวันหยุด โดยยังคงมอบสมรรถนะการขับขี่ขั้นสุดและประสบการณ์สุดเร้าใจเสมือนกำลังพุ่งทะยานในสนามแข่งไปพร้อมกัน
หากสิ่งที่แตกต่างคือความสะดวกสบายที่เหนือกว่าด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ อินโฟเทนเมนต์ และการเชื่อมต่อออนไลน์ที่คนยุคใหม่ต้องการ ทำให้เราเชื่อมั่นว่า Eletre จะเป็นเอสยูวีอีกหนึ่งรุ่นที่ครองใจลูกค้าโลตัส และนักขับในเมืองไทยอย่างแน่นอน
โลตัส อีเลททร้า มอบประสิทธิภาพทั้งในด้านความคล่องตัว การควบคุม และความสะดวกสบาย บวกฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบควบคุมป้องกันการพลิกคว่ำ และเวกเตอร์แรงบิด ระบบควบคุมโครงแชสซีรวมแบบ 6D ช่วยเพิ่มความมั่นใจถึงประสบการณ์การขับขี่แบบไดนามิก
นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบกันสะเทือนอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาแบบมัลติลิงก์พร้อมสปริงลม dual-chamber และระบบหน่วงกันสะเทือนแบบอิเล็กทรอนิกส์ผันแปรเพื่อมอบการตอบสนองที่ฉับไวในขณะขับขี่ ระบบบังคับเลี้ยวกลไกไฟฟ้าและระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังแบบแอ็กทีฟเพิ่มการควบคุมที่แม่นยำ
และด้วยโหมดการขับขี่ที่แตกต่าง และยาง Pirelli สมรรถนะสูง จึงทำให้นักขับสามารถปรับแต่งรูปแบบการขับขี่ได้ดังใจ ในส่วนของระบบเบรก นำเสนอตัวเลือกคาลิเปอร์หกลูกสูบ และเบรกคาร์บอนเซรามิกเพิ่มเติม
อีเลททร้า ได้รับการออกแบบให้มีคุณภาพการขับขี่และความคล่องตัวตามมาตรฐานระดับสูงของโลตัส สร้างขึ้นบนโครงสร้างแบบโมดูลาร์ Electric Premium Architecture (EPA) เอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมาก
ทั้งจากการสร้างจุดศูนย์ถ่วงต่ำโดยวางแบตเตอรี่ไว้ระหว่างเพลาและใต้ท้องรถ การใช้วัสดุขั้นสูงยังทำให้โครงแชสซีมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นแบบฉบับของยานยนต์โลตัส ส่วนประกอบหลักอื่น ๆ ทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยคิดเป็น 43% ของแพลตฟอร์ม และ 50.7% ของโครงสร้างตัวถังทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้ยังได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วยเหล็กกล้ากำลังสูงและวัสดุคอมโพสิตน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มความทนทานและความยืดหยุ่นหากเกิดการชน ผลลัพธ์ที่ได้คือรถยนต์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่เป็นเลิศในทุกสภาวะ
เหนือระดับทั้งพละกำลัง สมรรถนะ และประสิทธิภาพการขับขี่
โลตัส อีเลททร้า คือไฮเปอร์เอสยูวีที่ผสานสมรรถนะขั้นสูงเข้ากับประสิทธิภาพด้านพลังงานได้อย่างลงตัว เหมาะทั้งสำหรับการขับขี่ทางไกล และการใช้งานในชีวิตประจำวัน แบตเตอรี่ขนาด 800 โวลต์ 112kWh สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว และเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีระบบจัดการความร้อนที่ดีเยี่ยม
เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุดในทุกสภาวะ รถยนต์รุ่นนี้ยังใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นรุ่นแรกของโลตัส ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาและอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ขั้นสูง โดย Eletre รุ่นพื้นฐานมีกำลังเครื่อง 603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที และวิ่งได้ระยะทาง 600 กม.
ในขณะที่ Eletre R ให้กำลังสูงสุด 905 แรงม้า และวิ่งได้ระยะทาง 490 กม. โดยมีระบบชาร์จพลังงานกลับคืนในขณะเบรก ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับการประจุพลังงานได้ตามต้องการ เอสยูวีรุ่นนี้ยังมีกำลังลากสูงถึง 2,250 กิโลกรัม และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระเพิ่มเติม มอบสมดุลทั้งความหรูหราสง่างาม และฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบาย
รูปทรงและฟังก์ชัน เทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ และค็อกพิตระบบดิจิทัล
การออกแบบอันล้ำสมัยของ Eletre เพิ่มสุนทรียศาสตร์ให้กับไฮเปอร์เอสยูวีที่วางตำแหน่งเครื่องยนต์กลางตัวรถ ด้วยหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงที่ได้แรงบันดาลใจจากรุ่น Evija และ Emira พร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน 0.26 ผสานการติดตั้งกระจังหน้าแอ็กทีฟแบบปรับแต่งได้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศที่เหมาะสม
ซึ่งจะเปิดขึ้นเมื่อขับขี่แบบ Track Mode เพื่อมอบสมรรถนะสูงสุด กระจกมองหลังแบบจอแสดงผลระบบไฟฟ้าถูกติดตั้งแทนที่กระจกแบบเดิมเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยและลดแรงต้านลมได้ 1.5% ทั้งยังเพิ่มระยะการมองเห็นให้กว้างขึ้น ส่วนเซ็นเซอร์ LIDAR แบบพับเก็บได้และยังมอบระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง
ในขณะที่สปอยเลอร์หลังจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปตามสภาพการขับขี่โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยลดแรงต้านได้มากถึง 1.8% ห้องโดยสารที่หรูหราล้ำสมัยของ Eletre นำเสนอ “ค็อกพิตระบบดิจิทัล” (Digital Cockpit) ติดตั้งชิปเซ็ต Qualcomm อันทรงพลังและระบบปฏิบัติการ Lotus Hyper OS
พร้อมระบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ 5G และการอัปเดตผ่าน OTA นอกจากนี้ ยังมีระบบการสั่งงานด้วยเสียง และหน้าจอ OLED ติดตั้งหลายตำแหน่งเพื่อให้สามารถใช้งานระบบนำทางขั้นสูง การชาร์จไร้สาย และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยได้อย่างง่ายดาย
ห้องโดยสารยังมีระบบเสียง KEF คุณภาพสูงที่มาพร้อม Dolby Atmos และแอปพลิเคชันเพื่อการควบคุมระยะไกล การออกแบบองค์ประกอบอื่น ๆ ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและประหยัดพลังงาน อาทิ หลังคาพาโนรามาอัจฉริยะ เป็นต้น
นอกจากนี้ Eletre ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยและความสะดวกสบายขั้นสูง รวมถึงเซ็นเซอร์ 34 ตำแหน่ง และชิปเซ็ต NVIDIA Orin-X จำนวน 2 ตัว เพื่อสนับสนุนการขับขี่อัตโนมัติแบบ Level 4 ส่วนฟีเจอร์ Highway Assist ทำให้การขับขี่ทางไกลง่ายดายขึ้น โดยจะช่วยบริหารความเร็ว และจัดตำแหน่งรถยนต์ในช่องทาง
เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วระหว่าง 30-150 กม./ชม. ระบบ Driver Monitoring System จะแจ้งเตือนหากผู้ขับขี่เกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิ ในขณะที่ระบบ Life Detection and Care จะช่วยป้องกันการปล่อยเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถเมื่ออากาศร้อนจัด ไปจนถึงการแจ้งเตือนหน่วยงานฉุกเฉินหากเกิดเหตุจำเป็น
มอบภาพลักษณ์ที่สง่างาม พร้อมห้องโดยสารที่หรูหราสะดวกสบาย
รูปลักษณ์ภายนอกของ Eletre มอบความโดดเด่นด้วยดีไซน์ส่วนหน้าที่ให้ความรู้สึกพุ่งทะยาน ระยะฐานล้อยาว และมีชิ้นส่วนยื่นออกนอกตัวรถน้อยที่สุด เพื่อสร้างภาพลักษณ์รถสปอร์ตน้ำหนักเบาที่สมบูรณ์แบบ ชูลักษณะเด่นของการออกแบบอย่าง “การสร้างช่องเปิด” เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่ยอดเยี่ยมและแรงต้านที่น้อยลง
โดยองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ช่องระบายอากาศบนฝากระโปรงหน้าและซุ้มล้อยังช่วยยกระดับทั้งสมรรถนะ และระยะทาง ดีไซน์ด้านหน้าดูสวยโฉบเฉี่ยวด้วยไฟ LED กระจังหน้าแบบแอ็กทีฟ และระบบเซ็นเซอร์ LIDAR ที่ถูกวางตำแหน่งอย่างประณีตเช่นเดียวกับรถรุ่นคลาสสิกของโลตัสอย่าง Emira และ Evija
ส่วนโปรไฟล์ด้านข้างมีลักษณะโค้งมนตามหลักอากาศพลศาสตร์ พร้อมติดตั้งกระจกบังลมสูง และ “air blade” แบบพิเศษบนโครงสร้าง D-pillar ดีไซน์ด้านหลังสวยงามด้วยแถบไฟที่ยาวตลอดความกว้างซึ่งจะเปลี่ยนสีเพื่อระบุสถานะการชาร์จแบตเตอรี่
พร้อมด้วยสปอยเลอร์หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นจุดติดตั้งเซ็นเซอร์ LIDAR อีกตัวหนึ่งด้วย ห้องโดยสารภายในของ Eletre มีการออกแบบที่นั่งคนขับให้เป็นศูนย์กลางการควบคุมพร้อมคอนโซลทรงสูง
โดยใช้วัสดุเกรดพรีเมียมและนำเสนอ Option layout แบบ 4 ที่นั่ง ส่วนหลังคาพาโนรามาช่วยให้ห้องโดยสารแลดูสว่างขึ้น รวมถึงมีการนำดีไซน์รูปสามเหลี่ยมมาใช้ในองค์ประกอบต่าง ๆ ได้อย่างสวยงามล้ำสมัย ภายในยังมีฟีเจอร์สุดล้ำอีกมากมาย อาทิ ระบบชาร์จไร้สาย ที่วางแก้วแบบพับซ่อนได้ และช่องเก็บสัมภาระข้างประตูขนาดใหญ่
และเนื่องจากโลตัสกำหนดให้ความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญของยานยนต์รุ่นนี้ จึงนำเสนอ Option เบาะที่นั่งทั้งแบบเส้นใย Re-Fibre ที่รีไซเคิลจากขยะแฟชั่น และพรม Econyl ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% เมื่อโลตัสประกาศให้รุ่น Emira เป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปรุ่นสุดท้ายของแบรนด์
จึงทำให้ Eletre ในฐานะไฮเปอร์เอสยูวีระบบไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง เพราะโลตัสยืนหนึ่งมาตลอดในด้านนวัตกรรมเทคนิค เทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง และระบบยานยนต์น้ำหนักเบาในการสร้างสรรค์รถยนต์
ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ การขับขี่ และการควบคุมที่เป็นเลิศ ซึ่ง โลตัส อีเลททร้า คืออีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการสืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน พร้อมการพัฒนาไปอีกขั้นในด้านความอเนกประสงค์ และการใช้งาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าแบรนด์โลตัสจะสามารถดึงดูดนักขับทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th