Palo Alto Network เผยก่อสร้างไทยเป้าหมายหลัก!! ในการโจมตีจาก Ransomware

Palo Alto Network

พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ (Palo Alto Network) เผยก่อสร้างไทยเป้าหมายหลัก!! จากการโจมตี มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) มากที่สุด…

Palo Alto Network เผยก่อสร้างไทยเป้าหมายหลัก!! ในการโจมตีจาก Ransomware

Unit 42 ของ พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เผย บทความทบทวนเหตุการณ์มัลแวร์เรียกค่าไถ่ และรายงานการรับมืออุบัติการณ์ประจำปี 2567 โดยมีการศึกษาโพสต์ต่าง ๆ ในตลาดมืดขายข้อมูลจำนวน 3,998 โพสต์จากกลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่หลายกลุ่ม ทั้งนี้ตลาดมืดขายข้อมูลเป็นแพลตฟอร์มที่กลุ่มคนร้ายใช้ในการเปิดเผยข้อมูล

ที่ถูกโจรกรรมเพื่อบีบบังคับเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่ โดยพบข้อมูลที่น่าสนใจจากการสืบสวนครั้งนี้ ว่า ในปี 2566 Unit 42 พบจำนวนการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ในลักษณะการกรรโชกหลากหลายรูปแบบเพิ่มขึ้น 49% ทั่วโลก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยภาคอุตสาหกรรมในไทยที่โดนโจมตีมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ภาคก่อสร้าง, การขนส่ง และ

โลจิสติกส์ และภาคการผลิต ส่วนมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่สร้างปัญหามากที่สุด คือ LockBit 3.0 ที่ถูกใช้ในการโจมตีองค์กรประมาณ 23% หรือราว 928 แห่ง จากทั้งหมด 3,998 โพสต์ในตลาดมืดขายข้อมูลทั่วโลกในปี 2566 อีกทั้ง LockBit 3.0 ยังเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหามากที่สุดในประเทศไทยในปี 2566 โดยมีเหยื่อทั้งหมด 19 ราย

Palo Alto Network
ดร.ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศกลุ่มอินโดจีนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์

ดร.ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศกลุ่มอินโดจีนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า ภาคการก่อสร้าง รวมถึงภาคการขนส่ง และโลจิสติกส์ และภาคการผลิต เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนมีการเติบโตสูงในช่วงที่ผ่านมา

เห็นได้จากเมกะโปรเจ็คมากมายที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ อาทิเช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง แฮคเกอร์โจมตีโดยไม่เจาะจงเป้าหมาย โดยติดตามจากช่องทางการไหลเวียนของเงิน และช่องโหวที่มีการป้องกันน้อยที่สุด ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ในไทยอาจยังไม่มีระดับความปลอดภัยที่แข็งแรงเพียงพอ

และมีพื้นที่การโจมตีที่กว้างขวางมากขึ้นเนื่องจากมีอุปกรณ์เชื่อมต่อเตรือข่ายจำนวนมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุให้อุตสาหกรรมดังกล่าวตกเป็นเป้าการโจมตีของแฮคเกอร์ ซึ่งการโจมตีจะถูกยกระดับสูงขึ้นเมื่อมีจำนวนเงินและการเคลื่อนไหวที่ดึงดูด

โดยเราจำนวนโพสต์ในตลาดมืดขายข้อมูลมีมากขึ้นเพราะเกิดการเจาะระบบผ่านช่องโหว่ที่เพิ่งค้นพบใหม่ หรือช่องโหว่ซีโรเดย์ (zero-day) เช่น MOVEit Transfer SQL Injection และ GoAnywhere MFT เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบ่งชี้ด้วยว่า จำนวนการโจมตีพุ่งสูงขึ้นโดยไม่มีแบบแผน ดังปรากฏในรายงานของตลาดมืดขายข้อมูลจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ อาจสอดคล้องกับช่วงเวลาที่กลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่เริ่มการโจมตีผ่านช่องโหว่บางอย่าง

Palo Alto Network

รายงานการรับมืออุบัติการณ์จาก Unit 42 : ความเร็วในการลอบขโมยข้อมูล และการหันไปใช้ช่องโหว่เพื่อเจาะระบบ

Unit 42 วิเคราะห์อุบัติการณ์กว่า 600 รายการ จากองค์กร 250 แห่ง ใน รายงานการรับมืออุบัติการณ์จาก Unit 42 ประจำปี 2567 โดยการสืบสวนครั้งนี้ไม่เพียงวิเคราะห์โพสต์ต่าง ๆ ในตลาดมืดขายข้อมูลจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่เท่านั้น แต่ยังตรวจสอบจำนวนกรณีปัญหาในภาพรวมทั้งหมดด้วย

อีกทั้งยังพบด้วยว่าคนร้ายใช้เทคนิคฟิชชิงลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งที่เคยเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในอดีต  โดยมีจำนวนการฟิชชิงลดลงเหลือเพียง 17% ในปี 2566 จากเดิมที่อยู่ราว 33% ของอุบัติการณ์ที่มีการลอบเข้าสู่ระบบครั้งแรก นั่นหมายถึงว่าอาชญากรไซเบอร์ได้ลดความสำคัญของฟิชชิง และหันไปใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

รวมถึงวิธีลอบขโมยข้อมูลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คนร้ายที่มีความล้ำหน้ากำลังเลิกใช้แนวทางฟิชชิงแบบเดิม โดยเปลี่ยนไปใช้วิธีการแบบอัตโนมัติที่สังเกตได้ยากในการลอบเจาะช่องโหว่ของระบบ ตลอดจนการใช้รหัสผ่านต่าง ๆ ที่รั่วไหลออกมาก่อนหน้านี้

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่น ๆ จากรายงานฉบับนี้

  • คนร้ายใช้เทคนิคที่ซับซ้อนขึ้นในการเข้าถึงระบบครั้งแรกผ่านวิธีการต่าง: การเจาะระบบผ่านช่องโหว่ซอฟต์แวร์และ API (Application Programming Interface) ค่อย ๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยใช้เป็นช่องทางลอบเข้าระบบครั้งแรกคิดเป็น 38.60% ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 28.20% ในปี 2565 
  • คนร้ายกวาดข้อมูลแบบไม่เจาะจงเป้าหมาย : คนร้ายในอุบัติการณ์ 93% กวาดข้อมูลแบบไม่เลือก โดยไม่ได้ค้นหาข้อมูลอย่างเจาะจง เพิ่มขึ้นจาก 81% ในปี 2565 ที่มีการโจรกรรมข้อมูลแบบไม่เจาะจงเป้าหมาย ขณะที่ในปี 2564 มีกรณีดังกล่าวไม่ถึง 67% อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการกวาดข้อมูลในวงกว้างของอาชญากรไซเบอร์ตามที่ลอบเข้าถึงได้ โดยไม่เสียเวลาไปกับการค้นหา และลอบขโมยชุดข้อมูลอย่างเจาะจง
  • เทคนิคการกรรโชกเพื่อเพิ่มรายได้สูงสุด : อีกหนึ่งตัวเลขที่น่าสนใจก็คือ การข่มขู่มในกรณีที่มีการจ่ายค่าไถ่มีจำนวนเพิ่มขึ้น 27 เท่า นับตั้งแต่ปี 2564 ทั้งที่อัตราการข่มขู่ และกรรโชกด้านมัลแวร์เรียกค่าไถ่นั้นอยู่ในระดับคงที่ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 
  • เรียกค่าไถ่เพิ่ม แต่ได้เงินน้อยลง : ค่าเฉลี่ยของการเรียกค่าไถ่ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 650,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 695,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 3%) ตรงกันข้ามกับค่าเฉลี่ยของการจ่ายค่าไถ่ที่ลดลงจาก 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 237,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 32%) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่องค์กรต่าง ๆ ได้ติดต่อทีมรับมืออุบัติการณ์ที่ชำนาญในการเจรจาต่อรอง ซึ่งเป็นแนวทางที่ปฏิบัติกันไม่มากในอดีต
Palo Alto Network
สตีเวน เชอร์แมน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์

ด้าน สตีเวน เชอร์แมน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดของช่องโหว คือ แฮกเกอร์ต้องการโจมตีให้สำเร็จพร้อมกับสร้างความเสียหาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ถูกต้อง และแม่นยำ และควรจัดลำดับความสำคัญสำหรับการรักษาความปลอดภัยบนอุปกรณ์และเครือข่ายไฮเทค ตลอดจนการเชื่อมต่อดิจิทัล และซัพพลายเชน

คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A

สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th

ITDay