เร้ดแฮต (Red Hat) เผย 3 ขั้นตอนนำพาองค์กรสู่
highlight
- รายงาน Anatomy of Adaptive Leaders ที่จัดทำโดย Economist Impact ที่เป็นการสำรวจความเห็นของผู้นำองค์กร พบว่า การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (77%), การหยุดชะงักด้านซัพพลายเชน (76%), การโจมตีทางไซเบอร์ (69%) และการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบที่กระจัดกระจาย (69%) โดยทุกภาคส่วนในภูมิภาคนี้เผชิญ การขาดแคลนผู้มีความสามารถเป็นปัญหาที่หนัก
- หากต้องการบรรลุเป้าหมายผู้นำธุรกิจต้องสนับสนุนการพัฒนาองค์กรที่พร้อมใช้ดิจิทัล และใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่ ช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing), Web 3.0, ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แหล่งทรัพยากรของบริษัท และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
Red Hat เผย 3 ขั้นตอน สู่ Adaptive Leadership ที่สามารถปรับตัวได้ในยุคเทคโนโลยี
มาร์เจ็ต แอนดรีซ รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่
และความสามารถทางการแข่งขันของทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี IoT ในภาคการผลิต ไปจนถึงร้านค้าปลีกเล็ก ๆ หรือธุรกิจด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่พึ่งพาโซลูชันการชำระเงินแบบไร้สัมผัส องค์กรต่างลงทุนด้านเทคโนโลยี และ Generative AI มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แต่องค์กรส่วนใหญ่เร่งรีบเกินไปจนไม่ได้พิจารณาว่าองค์กรจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเพียงใดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดดเด่น และนำมาซึ่งโอกาสต่าง ๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงในวงกว้างเช่นกัน
ข้อมูลจากรายงาน Anatomy of Adaptive Leaders ที่จัดทำโดย Economist Impact ที่เป็นการสำรวจความเห็นของผู้นำองค์กร พบว่า การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (77%), การหยุดชะงักด้านซัพพลายเชน (76%), การโจมตีทางไซเบอร์ (69%) และการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบที่กระจัดกระจาย (69%)
เป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายที่ทุกภาคส่วนในภูมิภาคนี้เผชิญ การขาดแคลนผู้มีความสามารถเป็นปัญหาที่หนักโดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น (87%) ออสเตรเลีย (84%) และเกาหลีใต้ (81%) รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ
เช่น ธุรกิจขายส่ง แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจบริการต่าง ๆ ทำให้ผู้นำทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่างคาดหวังที่จะสำรวจสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจในหลายแง่มุม ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ความสามารถในการปรับตัว และการเจริญเติบโตของธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญต่อผู้นำองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้บริหารบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จ และแข่งขันในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาได้
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ที่มากกว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล หรือระบบอัตโนมัตเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้เปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ วัฒนธรรม และประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งหากต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ผู้นำธุรกิจต้องเห็นด้วย และสนับสนุนการพัฒนาองค์กรที่พร้อมใช้ดิจิทัล
ผู้นำต้องมีใจเปิดกว้าง และเต็มใจทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่ หรือใหม่กว่า เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing), Web 3.0, ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และ Generative AI แม้ว่าจะไม่สามารถเรียนรู้ และเชี่ยวชาญในนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีได้ทุกอย่าง
แต่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการประโยชน์จากเทคโนโลยีเกิดใหม่ต่าง ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพให้แหล่งทรัพยากรของบริษัท และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ส่วนผู้นำที่ไม่เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีมากนักก็สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมในองค์กรอย่างต่อเนื่องได้ด้วยคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งคือ ความสามารถในการปรับตัว
3 ขั้นตอนสู่การเป็นผู้นำที่สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับ Adaptive Leader
#1 ส่งเสริมวัฒนธรรมที่พร้อมใช้ดิจิทัล
ลักษณะของการเป็นผู้นำที่สามารถปรับตัว และนำพาองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงได้ (Adaptive Leader) ในยุคที่เทคโนโลยีมาเป็นอันดับแรก ต้องเริ่มจากการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมใช้ดิจิทัล ซึ่งเป็นมากกว่าการแนะนำการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้กับการทำงานในแต่ละวันเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องความรู้เชิงประสบการณ์ที่ผู้นำทางเทคโนโลยี และเครื่องมือทางดิจิทัลต่าง ๆ จะต้องปลูกฝังทั้งความมั่นใจและความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้กับพนักงานทุกคน การแนะนำกระบวนการ และแนวปฏิบัติใหม่ ๆ เช่น การบูรณาการทางดิจิทัลนั้น ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการทำนำเป็นตัวอย่าง
เช่น กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และระบุได้ว่าองค์กรจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างไรบ้าง การส่งเสริมวัฒนธรรมการปรับตัว และการยินดีรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้นำสามารถเสริมพลังให้ทีมของตนได้ก้าวหน้าอยู่เสมอ และเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กรในภาพรวม
#2 ประเมินสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัยตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กร และระบุว่ามีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงให้ทันสมัย เรื่องนี้เกี่ยวกับการปรับกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานไอที และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน Adaptive leaders ต้องทำงานใกล้ชิดกับแผนกไอที เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญของพวกเขาให้เป็นประโยชน์
ในการเลือกใช้แพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้จัดการกับความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำองค์กรสามารถเสริมสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีขององค์กรได้ และทำให้องค์กรประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
#3 ทำงานร่วมกัน และใช้สไตล์การทำงานแบบเปิด
Adaptive leadership จะใช้สไตล์การทำงานแบบเปิดซึ่งมีลักษณะคล่องตัว และมีการทำงานร่วมกัน การใช้กรอบความคิดที่คล่องตัวว่องไว ช่วยให้ผู้นำสามารถกระตุ้นทีมงานให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว การทำงานร่วมกันของทีมเป็นสิ่งสำคัญ เช่น แผนกไอทีที่มักถูกมองว่าทำงานแยกส่วนจากแผนกอื่น
แต่พนักงานที่มีความสามารถของแผนกนี้เป็นผู้นำทักษะ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาให้ทุกคนได้ใช้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานในปัจจุบัน และบรรเทาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น การลดการใช้เวลาในงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ด้วยการใช้เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ
และการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นภาคการเงิน การส่งเสริมทำงานร่วมกันทั่วทั้งองค์กรเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานที่ครอบคลุม นอกจากนี้การอนุญาตให้แชร์ไอเดียได้อย่างอิสระจะช่วยให้ผู้นำสามารถนำองค์กรสู่นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นได้
คำตอบต่อการค้นหาเส้นทางความซับซ้อนทางธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก
เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเทศจำนวนมากในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่น Economist Impact รายงานว่า ออสเตรเลียกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความซบเซาทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากความท้าทายด้านแรงงานสูงวัย
การพึ่งพาการส่งออกของไต้หวันกำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระยะสั้นท่ามกลางอุปสงค์ของโลกที่ชะลอตัว ทั้งนี้องค์กรต่างเผชิญกับความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด แม้ว่าส่วนใหญ่ต้องการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายก็ตาม การที่องค์กรต่าง ๆ อาจพยายามลดความเสี่ยงจากแรงต้านเหล่านี้ด้วยการตัดการลงทุนทางเทคโนโลยีหรือโครงการต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ความซับซ้อน และอุปสรรคเหล่านี้ทำให้บทบาทของผู้นำทางธุรกิจอยู่ในความสนใจมากว่าจะสามารถนำธุรกิจ สร้างคุณค่า และนวัตกรรมให้กับองค์กรตนได้
อย่างไรด้วยทรัพยากรที่ลดลง บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกพบว่ามีความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น มีผลผลิต และประสิทธิภาพในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง และ generative AI เพิ่มขึ้น
การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น โอเพ่นซอร์ส เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมรับอนาคต และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กร บริษัทในประเทศสิงคโปร์ มีความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีไปขับเคลื่อนแนวทางการทำงานแบบใหม่อย่างมาก โดย 72% ของบริษัทเหล่านี้ใช้หลักการ และเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สล้ำหน้าอย่างมาก
และเป็นอัตราการใช้ที่สูงที่สุดในภูมิภาค โอเพ่นซอร์สวางพื้นฐานให้กับเทคโนโลยีเกิดใหม่จำนวนมาก เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน เพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพให้กับองค์กรต่าง ๆ และ Adaptive leader ตระหนักถึงความมีประสิทธิภาพของโซลูชัน และความคิดก้าวหน้าของโอเพ่นซอร์ส
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th