อะโดบี (Adobe) โชว์ความสำเร็จหลังขนเทคโนโลยีเข้าร่วมเสริมทัพ The 1 เปลี่ยนโฉมหน้า Experience Economy รูปแบบใหม่ในประเทศไทย…
Adobe เสริมทัพ The 1 เปลี่ยนโฉมหน้า Experience Economy ในไทย
อะโดบีได้รับความไว้วางใจจาก The 1 ผู้นำดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล เพื่อเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาและสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับสมาชิก ที่จะพลิกโฉม Experience Economy รูปแบบใหม่ในประเทศไทย
The 1 ในฐานะผู้นำอันดับ 1 ด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และลอยัลตี้ (Digital Lifestyle & Loyalty Platform) ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ได้มุ่งมั่นมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ให้กับสมาชิกกว่า 17 ล้านคน
ผ่านแพลตฟอร์มอันแข็งแกร่ง ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัว New The 1–Digital Lifestyle Platform ที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและโดนใจสมาชิกมากที่สุด ทุกที่ ทุกเวลา นับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของ Experience Economy รูปแบบใหม่ให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง
การร่วมมือกันในครั้งนี้ อะโดบีได้รับความไว้วางใจจาก The 1 ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่ครอบคลุมและรอบด้าน รวมถึงความสามารถที่ก้าวล้ำด้านการจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล ผ่านชุดโซลูชั่น Adobe Experience Cloud
ซึ่งประกอบด้วย อะโดบี Analytics, อะโดบี Campaign, อะโดบี Experience Manager และ อะโดบี Target พร้อมบริการสนับสนุน อะโดบี Consulting Services ช่วยให้ The 1 สามารถผนวกรวมข้อมูลจากช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์
รวมไปถึงข้อมูลจากระบบต่าง ๆ ที่บูรณาการเข้ากับเครือข่ายพันธมิตร โดย ข้อมูล (Data) จะถูกบูรณาการ และแปลงเป็นข้อมูลสมาชิกที่มีการอัพเดตแบบเรียลไทม์ ก่อนกลั่นกรองเป็นข้อมูลเชิงลึก (Insights) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Experience) ให้แก่สมาชิก The 1 ได้อย่างลงตัว ด้วย อะโดบี Target ซึ่งระบบจะนำเสนอประสบการณ์ และข้อเสนอให้แก่สมาชิกแต่ละรายได้อย่างถูกใจและถูกช่องทาง (Channels) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว (long-term engagement)
นอกจากนั้น ยังมี Adobe Analytics ที่ช่วยนำเสนอข้อมูลเชิงลึก และฟีดแบค (Feedback) อย่างต่อเนื่อง โดยกลั่นกรองจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมผ่านหลากหลายช่องทางการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการโต้ตอบแต่ละครั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มมากขึ้นในการพัฒนาประสบการณ์ที่ดีมากขึ้นให้กับสมาชิก
ขณะที่เทคโนโลยีของอะโดบีนอกจากจะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วทั้งองค์กรเข้าด้วยกันแล้ว ยังรองรับการจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act – PDPA) ของไทยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีหน้า
ทั้งยังครอบคลุมทุกส่วนงานภายในองค์กรธุรกิจ และสอดคล้องตามข้อกำหนดระหว่างประเทศอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ระบบจัดการข้อมูลแบบครบวงจรจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรของ The 1 และกลุ่มเซ็นทรัล
ธรรม์ จิราธิวัฒน์ President The 1 กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI จาก อะโดบี เพื่อพัฒนาประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กับสมาชิกในแบบ Omnichannel
ซึ่งครอบคลุมหลากหลายช่องทาง ทั้งการติดต่อสื่อสารผ่านแอปพลิเคชั่น และการให้บริการแก่สมาชิกผ่านช่องทางออฟไลน์ ภายในร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งโซลูชั่นของอะโดบีช่วยให้ The 1 สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแบบเรียลไทม์ และตรงใจสมาชิก (Personalization) ตามความสนใจ และตำแหน่ง (Location)
นอกจากนี้ ด้วยโครงสร้างด้านข้อมูล (Data Infrastructure) ที่แข็งแกร่ง ยังช่วยให้ The 1 สามารถดำเนินงานได้อย่างยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมถึงช่วยให้เราสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ทั้งสะดวกสบาย คุ้มค่า และสนุกสนานให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ด้าน ไซม่อน เดล กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอะโดบี กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่แบรนด์ต่างๆ จะต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา
แพลตฟอร์ม อะโดบี Experience Cloud ช่วยให้ The 1 สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกทั่วทั้งองค์กร เพื่อดึงดูดสมาชิกแต่ละรายด้วยการนำเสนอประสบการณ์ และข้อเสนอสุดพิเศษที่สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกในช่วงเวลานั้นๆ ผ่านช่องทางที่เหมาะสม
เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ The 1 ไว้วางใจเลือกใช้โซลูชั่นของอะโดบีสำหรับการพลิกโฉมธุรกิจที่มุ่งเน้นประสบการณ์สำหรับลูกค้าในประเทศไทย เพื่อมอบความสะดวกสบาย รีวอร์ดที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล และประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับสมาชิก
ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกยั งคงรู้สึกดีต่อแบรนด์ ขณะที่แบรนด์ต่าง ๆ เดินหน้าปรับกลยุทธ์ ตอบรับวิถีใหม่ในโลกธุรกิจ
ผลการสำรวจอะโดบีระบุว่า ถึงแม้ว่าหลายๆ ประเทศจะยกเลิกมาตรการปิดประเทศหลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง แต่การที่ผู้บริโภคต้องเก็บตัวอยู่บ้านมาเป็นเวลานานส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค รวมถึงปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อแบรนด์ต่างๆ
ความกังวล และสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในช่วงล็อกดาวน์
- COVID-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตและกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคกว่าสามในห้า (67%) มีความกังวลใจเกี่ยวกับผลกระทบโดยรวมของการแพร่ระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสุขภาพ (73%), ผลกระทบต่อการทำงาน (40%) และภาวะเศรษฐกิจ (36%) โดยทั่วไปแล้ว คนรุ่น Millennial (72%) มีความกังวลใจมากกว่าคนรุ่น Gen Z (58%), เบบี้บูม (62%) และ Traditionalist (48%)
- ผู้บริโภคเกือบทั้งหมด (95%) ที่ตอบแบบสอบถามพร้อมที่จะรอให้มีการยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด แต่มีเพียง 61% ที่เห็นด้วยกับการใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคอยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม ส่วนผู้บริโภคชาวจีนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรการข้อจำกัดอย่างต่อเนื่องมีจำนวนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยรวมแล้ว ผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ต้องการรอให้มีการยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความรู้สึกของผู้บริโภคในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ผู้บริโภคมีจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
- จากผลการสำรวจพบแนวโน้มความใส่ใจต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อเรื่องของการดูแลบุคลากร (77%) อย่างไรก็ดี แบรนด์ต่าง ๆ ยังคงต้องพัฒนาปรับปรุงในส่วนนี้อีกมาก โดยมีผู้บริโภคเกินกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น (54%) ที่เห็นด้วยว่าแบรนด์ต่าง ๆ ดำเนินการอย่างเพียงพอในการดูแลสวัสดิภาพของพนักงาน ส่วนในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีความเห็นแบ่งเป็นสองขั้วในเรื่องนี้ กล่าวคือ คนกลุ่ม Gen Z ให้ความสำคัญกับเรื่องของการดูแลบุคลากรน้อยกว่าคนกลุ่ม Millennial
- ผู้บริโภคเกือบสามในสี่ (73%) คิดว่าแบรนด์ต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลการตลาดในลักษณะที่สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน เช่น กรณีของโควิด-19 ทั้งนี้ผู้บริโภคในจีน (80%) และอินเดีย (83%) มีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้มากกว่าประเทศอื่น ๆ นอกจากนั้น โดยทั่วไปแล้วผู้บริโภคยังรู้สึกว่าแบรนด์ต่างๆ มีหน้าที่ที่จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังหรือให้ข้อเสนอพิเศษแก่ลูกค้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ นักการตลาดในจีน (94%) และอินเดีย (94%) ให้ความสำคัญกับเรื่องของหน้าที่ดังกล่าวมากที่สุด ส่วนอันดับสุดท้ายคือออสเตรเลีย (82%) สำหรับในสหรัฐฯ เกือบสี่ในห้า (78%) ของนักการตลาดที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าแบรนด์ต่างๆ มีหน้าที่ดำเนินการดังกล่าว
ยังไม่ใช่จุดจบของห้างร้านทั่วไป
- ในช่วงที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ผู้บริโภค 58% ซื้อสินค้าทางออนไลน์บ่อยครั้งมากขึ้น ขณะที่ 3 ใน 4 (74%) ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าในอนาคต โดยผู้บริโภคในอินเดียและสิงคโปร์มีความตั้งใจในเรื่องดังกล่าวมากที่สุด และแน่นอนว่าคนรุ่นใหม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าในอนาคตมากกว่าคนรุ่นเก่าซึ่งต้องการคงพฤติกรรมแบบเดิมเอาไว้
- ถึงแม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ผู้บริโภคเกือบสามในสี่ (70%) ต้องการที่จะเลือกซื้อสินค้าประเภทของชำด้วยตนเอง ขณะที่ราวครึ่งหนึ่งเลือกใช้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน (47%) และ 17% ใช้วิธีสั่งซื้อทางออนไลน์แล้วไปรับของที่ร้าน สำหรับสินค้าทุกประเภท คนรุ่นใหม่ และคนเมืองชอบที่จะใช้บริการจัดส่งถึงบ้าน ขณะที่คนรุ่นเก่าชอบไปเลือกซื้อที่ร้านโดยตรง ยกเว้นสินค้าประเภทสื่อ นอกจากนี้ จากทุกประเทศที่ทำการสำรวจ พบว่าผู้บริโภคในออสเตรเลียชอบที่จะไปเลือกซื้อสินค้าที่ร้านสำหรับสินค้าทุกประเภท
นำเสนอข้อมูลในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
- ดูเหมือนว่านักการตลาดจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในแง่ของการทำให้ผู้บริโภคยังคงรู้สึกดีต่อแบรนด์ในช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาด โดยนักการตลาดส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสื่อสารขององค์กรมีลักษณะที่จริงใจ (94%) และสอดรับกับความรู้สึกของลูกค้า (92%) นอกจากนี้ ผู้บริโภคกว่าครึ่งหนึ่ง (55%) พบว่าข้อมูลอัพเดตเรื่องโควิด-19 ที่เกี่ยวเนื่องกับแบรนด์เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ และ 69% ต้องการให้มีข้อมูลอัพเดตลักษณะนี้ในอนาคต
- ความถี่ในการนำเสนอข้อมูล และการตรวจสอบให้แน่ใจว่ากลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงได้รับทราบข้อมูลที่ต้องการในจังหวะเวลาที่เหมาะสมถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ทั้งนี้ผู้บริโภคสองในสามเห็นด้วยว่าแบรนด์ต่างๆ สื่อสารข้อมูลในระดับที่เหมาะสม และที่น่าสนใจก็คือ เกือบ 1 ใน 5 (16%) เชื่อว่าแบรนด์ต่าง ๆ สื่อสารข้อมูลไม่เพียงพอ ผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะยกเลิกการสมัครรับข้อมูลทางอีเมลมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับใช้แนวทางแบบเฉพาะบุคคล (Personalized) เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ
วางแผนสำหรับการดำเนินการในระยะยาว
- เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างหลากหลายของลูกค้า องค์กรส่วนใหญ่จึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในระยะยาวเผื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะกินเวลาเกินกว่าหนึ่งปี (79%) และยังเปลี่ยนแปลงแนวทางสำหรับกิจกรรมด้านการตลาดในอนาคต (82%) ที่จริงแล้ว นักการตลาดขององค์กรต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวมากกว่านักการตลาดในสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้แก่ การเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่นสำหรับการทำตลาด (75%), การเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหลักในการทำตลาด (58%) และการปรับเปลี่ยนการจัดสรรทรัพยากรสำหรับพื้นที่ต่าง ๆ (47%)
- แบรนด์ต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการสื่อสารข้อมูลเรื่องโควิด-19 ต่อสาธารณชน โดยนักการตลาดเกือบสามในสี่ (71%) ระบุว่าองค์กรของตนได้จัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจด้านโควิด-19 เพื่อจัดการเกี่ยวกับแคมเปญการตลาดและการนำเสนอข้อมูล ทั้งนี้นักการตลาดในออสเตรเลีย (55%) และสิงคโปร์ (67%) มีแนวโน้มที่จะจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจน้อยกว่า ขณะที่นักการตลาดในจีน (81%) และอินเดีย (80%) มีแนวโน้มที่จะดำเนินการดังกล่าวมากกว่า ในทางตรงกันข้าม ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนักการตลาดในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ระบุว่ามีการจัดตั้งทีมงานพิเศษสำหรับเรื่องนี้ การจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจด้านโควิด-19 ก่อให้เกิดผลดีอย่างชัดเจน โดยนักการตลาดส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก รู้สึกว่า กิจกรรมด้านการตลาด/การสื่อสารขององค์กรมีลักษณะจริงใจ (94%) และสอดรับกับความรู้สึกของลูกค้า (92%)
- การศึกษานี้ดำเนินการโดยบริษัทวิจัย Advanis สำหรับอะโดบี โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค 4,001 คนในบางประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย และสิงคโปร์ รวมถึงนักการตลาด 1,200 คนในจีน อินเดีย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 17 มิถุนายน 2563
สามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์ของอะโดบี – รายงานสำหรับผู้บริโภค | รายงานสำหรับนักการตลาด
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก N/A
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th