อรูบ้า (Aruba) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ CX สวิตช์ ที่มาพร้อมด้วยความสามารถการจัดการเชื่อมต่ออุปกรณ์อัตโนมัติด้วย AI ครอบคลุมการใช้งานในยุค IoT หลากหลาย…
highlight
- อรูบ้า เปิดตัวสวิตช์ตระกูล CX รุ่นใหม่ 2 รุ่น ที่ฉลาดมากขึ้น ด้วยความสามารถในการติดตั้งอุปกรณ์ (Configuration) ระบบแบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมาพร้อมระบบปฏิบัติการแบบ Cloud-Native สามารถทำการผสานระบบเพื่อทำงานโดยอัตโนมัติ และวิเคราะห์ข้อมูล แก้ปัญหาระบบล่ม และรองรับการใช้งานได้อย่างครบวงจร ช่วยช่เปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ให้บริการระบบเครือข่ายให้ง่ายดายยิ่งขึ้น
Aruba CX Switch รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแบบ Cloud-Native
อรูบ้า เดินหน้าสร้างปรากฏการณ์การ เปลี่ยนแปลงกฎของระบบเครือข่าย ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมของอุปกรณ์สวิตช์ และซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางของระบบเครือข่ายในองค์กรธุรกิจ สาขา และดาต้าเซ็นเตอร์สมัยใหม่ในทุกวันนี้ โดยผลิตภัณฑ์สวิตช์ตระกูล Aruba CX
ด้วยการเปิดตัวสวิตช์ อรูบ้า CX 6300 Series และโมดูลาร์สวิตช์ อรูบ้า CX 6400 ในรูปแบบของสวิตซ์รวม (Aggregation Switch) และ อุปกรณ์เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่น ๆ (Core Switch) ที่เพิ่มนวัตกรรมล้ำสมัยจากระบบปฏิบัติการ AOS-CX ที่ช่วยการติดตั้งอุปกรณ์ (Configuration) แบบอัตโนมัติ ด้วยเทคโนดลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้บริหารจัดการได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการระบบเครือข่ายส่วนเชื่อมต่อไปจนถึงศูนย์กลาง และดาต้าเซ็นเตอร์ ผ่านแพลทฟอร์มแบบ Cloud-Native ที่ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี Network Analytics Engine (NAE) ช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลซึ่งมีอยู่ภายในมาช่วยให้การบริหารจัดการง่ายดายยิ่งขึ้น และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็น ระบบแอปพลิเคชัน และปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นภายในระบบเครือข่าย รวมถึงช่วยปกป้องให้ระบบมีคามปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ประคุณ เลาหกิตติกุล Country Manager แห่ง HPE Aruba กล่าวว่า ทุกวันนี้ องค์กรธุรกิจไม่อาจคงความสามารถในการแข่งขันได้ด้วยการมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและมีแบนด์วิดธ์ที่มากขึ้นเท่านั้น แต่องค์กรธุรกิจสมัยใหม่นั้นต้องการสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยซึ่งสามารถตรวจสอบความถูกต้องในการทำงาน และปรับแต่งการทำงานได้ด้วยตนเองเพื่อให้การทำงานเป็นอย่างอัตโนมัติ
ครบวงจร สามารถช่วยสนับสนุนระบบแอปพลิเคชั่นที่มีความสำคัญสูงได้อย่างชาญฉลาด ปกป้องเครือข่ายจากการโจมตีรูปแบบใหม่ ๆ และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจในปัจจุบัน จนถึงตอนนี้ ผู้ให้บริการเครือข่ายก็ยังคงต้องต่อสู้กับสถาปัตยกรรมที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องบริหารจัดการออฟฟิศสาขา, ระบบเครือข่ายหลักขององค์กรธุรกิจ และดาต้าเซ็นเตอร์ร่วมกัน สถาปัตยกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยกระบวนการที่ผู้ดูแลระบบต้องลงมือจัดการเองบนระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย ส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของระบบปฏิบัติการ
และการที่ระบบเครือข่ายไม่อาจตอบสนองต่อความสามารถในสมัยใหม่ และข้อมูลอันไร้ระเบียบปริมาณมหาศาลที่ไม่สามารถนำมาสร้างประโยชน์ได้ โดยผลสำรวจล่าสุดที่ทาง Gartner ได้มีการเปิดเผนระบุว่า เมื่อความเร็วในการอัปเดตระบบนั้นสูงขึ้น การให้ผู้ดูแลระบบวางแผนในการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายสิบส่วน, ร้อยส่วน หรือพันส่วน
กล่าวคือ ทุก ๆ ครั้งที่แอปพลิเคชั่นมีการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเองนั้นก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วยตนเองนั้นไม่เพียงแต่จะไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดปริมาณมหาศาลได้มากอีกด้วย ซึ่งกระบวนการที่ผู้ดูแลระบบต้องทำด้วยตนเองนั้นสามารถขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
รวมถึงทำให้การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการก้าวสู่ตลาดใหม่เพื่อการแข่งขันได้ช้าลงเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น อุปสรรคเหล่านี้จำนวนมากยังสามารถถูกก้าวข้ามได้ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบ Cloud-Native
คุณลักษณะระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบ Cloud-Native
- การแบ่งระบบออกเป็นหน่วยย่อย (Modularity) โดยมีชั้นของการแบ่งแยกบริการแต่ละกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกันออกจากกัน (อย่างเช่น การใช้ Container หรือ Serverless Functions)
- การควบคุมด้วยโปรแกรมได้ โดยมีการสนับสนุนการใช้งานและการบริหารจัดการผ่านทางระบบ API และการกำหนดนโยบายได้
- มีความยืดหยุ่น ทรัพยากรในระบบสามารถที่จะถูกเพิ่มหรือลดได้อย่างยืดหยุ่นแบบอัตโนมัติและเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดเอาไว้ในระบบบริหา
- มีความมั่นคงทนทาน แต่ละบริการมีการเชื่อมต่อกันอย่างไม่ยึดติดกันจนเกินไป และทำงานแยกขาดจากกันโดยไม่ส่งผลกระทบต่อกันเมื่อเกิดปัญหาในการทำงาน
องค์กรธุรกิจสมัยใหม่นั้นต้องการระบบเครือข่ายตั้งแต่ปลายทางไปจนถึงคลาวด์ซึ่งทำงานอยู่บนแพลทฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการทำงานแบบอัตโนมัติ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น ลดภาระของผู้ให้บริการระบบเครือข่ายลง และทำให้สามารถมุ่งเน้นไปยังงานที่มีความสำคัญสูงต่อธุรกิจได้มากขึ้น
“ระบบการทำงานแบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้จะต้องเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ตั้งแต่ปลายทางของเครือข่ายไปจนถึงคลาวด์ และเพื่อให้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะถือเป็นรากฐานที่สำคัญ”
อรูบ้า เชื่อว่า AI คือกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล, นำเสนอองค์ความรู้ที่พร้อมนำไปใช้งาน และการทำงานโดยอัตโนมัติสำหรับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่เพื่อเสริมความสามารถของผู้ให้บริการระบบเครือข่ายให้สามารถตรวจสอบแก้ไขปัญหา, บรรเทาปัญหา และป้องกันปัญหา
ซึ่งเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดส่วนหนึ่งของงานทางด้าน IT วิสัยทัศน์ของเราต่ออนาคตนั้นก็คือสถาปัตยกรรมแบบ Cloud-Native ที่จะสามารถทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ได้ ซึ่งการเปิดตัวในวันนี้ก็คือก้าวสำคัญอันจะนำไปสู่ทิศทางนั้นได้สำเร็จ
CX Switch ที่ฉลาดกว่าคุ้มค่ากว่า ด้วยระบบปฏิบัติ และสถาปัตยกรรมเดียว
สุรชัย Senior Systems Engineer แห่ง HPE Aruba กล่าวเสริมว่า ด้วยระบบเครือข่ายหลักของธุรกิจ สาขา และดาต้าเซ็นเตอร์ทำงานร่วมกันในฐานะของรากฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนดิจิทัลแพลทฟอร์ม ซึ่งองค์กรธุรกิจที่ทันสมัยในทุกวันนี้ต้องใช้งาน การประกาศในวันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการที่อรูบ้ายังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถจัดการกับกระบวนการทำงานที่หลากหลาย, ระบบเครือข่ายล้าสมัยที่มีอยู่เดิม และประเด็นด้านการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย เพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างบริการต่าง ๆ อย่างไร้รอยต่อในยุคสมัยแห่ง Edge-Cloud ด้วยการออกแบบด้วยแนวคิด Cloud-Native ความสามารถของ
อรูบ้า AOS-CX ได้รวมเอาการทำงานโดยอัตโนมัติ และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงเอาไว้เพื่อให้นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที เพิ่มความมั่นคงทนทานและความยืดหยุ่น และทำให้องค์กรธุรกิจสามารถเลือกใช้งานการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดต่อความต้องการเฉพาะทางได้
ซึ่งแนวทางนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับองค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ซึ่งต้องการยกระดับความสำคัญให้กับระบบเครือข่ายที่รองรับต่อการใช้งานในอนาคตได้ท่ามกลางช่วงเวลาที่ดิจิทัลกำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการต่อยอดจากนวัตกรรมล้ำหน้าและความสำเร็จของ Core Switch รุ่น CX 8400 Series ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ AOS-CX ที่ผ่านมา
ทำให้อรูบ้ามีลูกค้าหลักรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และในสวิตช์ ทั้ง 2 รุ่น ยังถือเป็นการพัฒนาที่แสดงการเอาชนะความท้าทายรุปแบบเดิม ๆ ที่องค์กรจะต้องเจอจากการติดตั้งอุปกรณ์ (Configuration) แบบเดิม เพราะสามารถใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันในการจัดการระบบเครือข่ายทั้งหมดขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นที่สาขา หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์
ทำให้การดูแลรักษาระบบเครือข่ายง่ายดายยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก แพลทฟอร์มใหม่ในผลิตภัณฑ์สวิตช์ตระกูล อรูบ้า CX ได้รวมเอาปัจจัยสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายสมัยใหม่เอาไว้ด้วยกัน โดย อรูบ้า CX 6400 (Modular) และ อรูบ้า CX 6300 แบบกล่องที่มีขนาดมาตรฐาน มาพร้อมกับเทคโนโลยี และแนวคิดใหม่ ๆ อาทิ
- ASIC Chip รุ่นที่ 7 ที่สามารถอัปเกรดได้ในเวลาอันสั้น และรองรับการประมวลผลทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตัว รวมถึงรองรับการทำระบบใหม่ที่ไม่ส่งผลต่อระบบเก่าทำให้ไม่มีปัญหาแม้ว่าจะมีจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อ IoT เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยในรุ่น CX 6300 Series ยังมาพร้อมกับสวิตช์แบบ Stackable ที่มีสามารถเพิ่มขยายได้อย่างยืดหยุ่นผ่านทาง Virtual Switching Framework (VSF) ที่รองรับสมาชิกมากถึงสิบอุปกรณ์ และมีการเชื่อมต่อเครือข่ายระดับ 10/25/50 Gigabit ให้พร้อมใช้งานเพื่อให้รองรับต่อความต้องการด้านแบนด์วิดธ์ในปัจจุบัน และอนาคตได้ ขณะที่ในรุ่น Aruba CX 6400 Series ซึ่งเป็นสวิตช์แบบ Modular นี้จะมีรุ่น Chassis แบบ 5 ช่องและ 10 ช่องซึ่งทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มขยายระบบจาก Gigabit POE ที่ชั้นของการเชื่อมต่อไปเป็น 100G ที่ชั้นของ Core ได้ ทำให้ลูกค้าสามารถทำงานอย่างมีมาตรฐานบนแพลทฟอร์มเดียวกันทั้งองค์กร ซึ่งรวมถึงการทำงานผสานรวมแบบไฮบริดได้อีกด้วย
- ระบบปฏิบัติการ AOS-CX 10.4 ความสามารถเพิ่มเติมด้านการเชื่อมต่อมากมายในระบบปฏิบัติการ และสร้างความแตกต่างให้กับ CX ได้มากยิ่งขึ้นในขั้นของการเชื่อมต่อเครือข่าย ด้วย Dynamic Segmentation ที่สามารถควบคุมนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ระบบเครือข่ายแบบมีสายและไร้สายร่วมกันได้ เพื่อบังคับใช้แก่ผู้ใช้ทุกคนและทุกอุปกรณ์ IoT, การใช้งาน Ethernet VPN (EVPN) over VxLAN สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างง่ายดายและมั่นคงปลอดภัยจากเครือข่ายขององค์กรธุรกิจไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ และ Virtual Switching Extension (VSX) ที่สามารถอัปเกรดได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงานของระบบในระหว่างที่มีการบำรุงรักษาแต่อย่างใด
- NetEdit 2.0 ทำงานร่วมกับ Network Analytics Engine (NAE): การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของซอฟต์แวร์ อรูบ้า NetEdit ในครั้งนี้ก็คือความสามารถในการทำงานร่วมกับ Aruba NAE ซึ่งความสามารถนี้จะทำให้การแสดงผลการทำงานของระบบเครือข่ายจากศูนย์กลางเกิดขึ้นได้จากการใช้ข้อมูลจากระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบกระจายตัวของ NAE ที่มีอยู่บนสวิตช์ทุกชุดภายในระบบเครือข่าย เพื่อลดเวลาที่ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาจากที่เคยต้องใช้เวลาหลายวันให้เหลือเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ความสามารถในการทำงานได้แบบอัตโนมัติที่เพิ่มเข้ามานี้จะทำให้งานพื้นฐานมีความง่ายดายยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการตั้งค่า หรือการเริ่มต้นติดตั้งใช้งานอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งล้วนสามารถทำงานได้ผ่าน CX Mobile App ได้
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th