Outsytstems ระบุผลสำรวจการพัฒนาแอปฯใน APJ ของ IDC ชี้ ภายใน 4 ปี จะมีนักพัฒนารุ่นใหม่ที่สร้างแอพพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดคิดเป็น 20% ของนักพัฒนาทั้งหมด…
highlight
- เผยผลสำรวจความก้าวหน้าของการพัฒนาแอป Low-Code ในเอเชียแปซิฟิค (APJ) :ประสบการณ์ของนักพัฒนายุคใหม่ในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (IDC’s Asia/Pacific Enterprise Software Survey 2019 The State of Application Development, 2019: Is IT Ready for Disruption, Outsytstems) ชี้ภายในปี 2567 จะมีนักพัฒนารุ่นใหม่ที่สร้างแอพพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดคิดเป็น 20% ของนักพัฒนาทั้งหมดในแถบเอเชียแปซิฟิกรวมประเทศญี่ปุ่น (APJ) ซึ่งนักพัฒนาเหล่านี้คือผู้ขับเคลือนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
IDC ระบุภายใน 4 ปี! นักพัฒนาแอปฯ ใน APJ จะไม่ต้องเขียนโค้ดเพื่อพัฒนาแอป Low–Code
Low–code เป็นวิธีหนึ่งในการออกแบบและพัฒนาแอพพลิเคชันซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเองมากนัก ทำให้ผู้ที่มีทักษะสามารถสร้างงานได้อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ โดยการใช้ visual modelling ในอินเตอร์เฟสกราฟิกในการรวมและปรับแต่งแอปพลิเคชันต่าง ๆ
นักพัฒนาจึงสามารถข้ามขั้นตอนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานและการทำซ้ำในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อโฟกัสกับอีก 10% ที่เหลือในการพัฒนาส่วนที่เป็นเรื่องสำคัญจำเพาะของแอปพลิเคชันนั้น ๆ ได้ทันที ปัจจุบันการพัฒนาแบบ low–code ถูกนำมาใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพื่อตอบโจทย์ด้านความรวดเร็ว และแรงกดดันจากการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันที่เกิดขึ้นทุกหนแห่ง การใช้งานและแพลตฟอร์ม low–code ทำให้การเขียนโค้ดด้วยตัวเองในขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างง่ายดายขึ้นหรือไม่จำเป็นต้องเขียนโค๊ดเองก็ได้
ช่วยตอบโจทย์องค์กรต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยองค์กรในเอเชียแปซิฟิก (AP) มากกว่าครึ่งนำแพลตฟอร์ม low–code มาใช้แล้ว และยังมีอีกหลายองค์กรที่วางแผนจะนำแพลตฟอร์มนี้มาใช้ในช่วงเวลาปีครึ่งต่อจากนี้
เนื่องจากหลายๆองค์กรเริ่มตระหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการลดการเขียนโค้ดลงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การสร้างแอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจหลักเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น มีความปลอดภัยมากกว่า และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยการสำรวจพบว่า
- 24.5% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในเอเชียแปซิฟิกปัจจุบันใช้แพลตฟอร์ม low-code มากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดที่ทำอยู่
- 3.2% ขององค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันใช้แพลตฟอร์ม low-code กับทุกโครงการที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา
- 21% ขององค์กรต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกใช้แพลตฟอร์ม low-code ในการพัฒนาแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์พกพาอยู่แล้ว
แม้จะมีความกังวลว่าการใช้ low–code จะทำให้ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถของนักพัฒนาถดถอยลงอย่างมาก แต่ไอดีซีมองว่าการใช้งานนี้เป็นเพียงตัวเสริมไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาทดแทนทักษะและความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในองค์กรแต่อย่างใด
นอกจากนี้ไอดีซียังคาดหวังว่าบทบาทของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยนักพัฒนาถ้าไม่ทำหน้าที่ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคมากขึ้น ก็จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษา และวางกลยุทธ์ทางธุรกิจมากขึ้น แม้ว่าตลาดแรงงานของนักพัฒนาในระยะสั้นยังคงเติบโต
ลินัส หลัย รองประธาน IDC Asia/Pacific Software and Services กล่าวว่า ในแถบเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) อาชีพนักพัฒนาแอปพลิเคชันเริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้แอป B2C ซึ่งเดิมทีกลุ่มอาชีพนี้จะเน้นการทำงานในรูปแบบธุรกิจสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินทุน
การนำเอา low–code เข้ามาใช้ดังที่เราเห็นกันในภาคองค์กรจะช่วยส่งเสริมให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพได้มีโอกาสอันยอดเยี่ยมในการเป็นผู้ทรงอิทธิพลระดับสูงต่อแนวคิด และการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ
4 เหตุผล ที่องค์กรใน APJ หันมาใช้ Low–code เพื่อปรับองค์กรเข้าสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
- การพัฒนาแอปทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ลูกค้า การวิเคราะห์เชิงธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ และ IoT
- การเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพของนักพัฒนา การใช้ low-code ทำให้นักพัฒนารุ่นใหม่สามารถปรับโปรไฟล์การทำงานของตนที่แสดงให้เห็นว่ามีประสบการณ์เชิงธุรกิจร่วมด้วย
- ได้รับการเห็นชอบจากหน่วยงานธุรกิจต่าง ๆ ต่อกลยุทธ์การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน “การที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการเขียนโค๊ดได้ง่ายขึ้น ด้วยอินเทอร์เฟซของระบบที่เรียนรู้ได้ง่าย” (Democratization of Coding) ทำให้องค์กรต่างๆ ดำเนินตามกลยุทธ์ทางดิจิทัลของตนได้โดยได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของหน่วยงานธุรกิจมากยิ่งขึ้น
- หลุดพ้นจากปัญหาข้อจำกัดของระบบเดิม องค์กรในเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 72% ต้องการหาทางออกจากข้อจำกัดของระบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะด้วยการ migrate ไปใช้แอปอื่น ทำให้แอปที่ล้าสมัยมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น หรือเปลี่ยนแอปที่ล้าสมัยออก และยกเครื่องระบบที่มีอยู่ด้วยฟีเจอร์ และความสามารถใหม่ๆ อย่างคุ้มค่าเงิน
การนำไปใช้ในงานเฉพาะทาง ในภาคธุรกิจของ APJ
- การธนาคาร และการเงิน Business Intelligence และการวิเคราะห์ทางธุรกิจเพื่อความเข้าใจลึกซึ้งในชุดข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง
- ภาคเอกชน ขั้นตอน และการบริหารจัดการธุรกิจ รวมถึงการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม (ERP), การบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM), การเงิน, ทรัพยากรบุคคล และแอปพลิเคชันการบริหารจัดการสำนักงาน
- การผลิต IoT โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบมอนิเตอร์งาน ระบบซ่อมบำรุงและรักษา และการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ รวมไปถึงระบบติดตามการขนส่ง (fleet)
- ประกันภัย การบูรณาการเว็บที่เชื่อมต่อข้อมูลเว็บไซต์เข้ากับ workflow แบบอัตโนมัติ ตั้งแต่การติดตามลูกค้าเป้าหมาย ไปจนถึงการรับประกัน และสนับสนุนงานบริการต่าง ๆ
- การศึกษา ฟังค์ชั่นการทำงานร่วมกันที่ปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้าง และวัฒนธรรมของแต่ละองค์กร ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันแชท และการบริหารจัดการโครงการ
- การค้าปลีก ออฟไลน์ออนไลน์ รวมถึงแบบที่ใช้คิวอาร์โค้ด และบาร์โค้ดในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน อุปกรณ์ และต้นทุนอื่น ๆ
การประยุกต์ใช้ low-code ในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับ DevOps ในการปรับปรุงด้าน agility ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และความรวดเร็วในการเปิดตัวสู่ตลาด สายดิจิทัลแท้ๆ และสตาร์ทอัพ อาทิ ผู้ให้บริการฟินเทคเริ่มตอบรับแอปที่ใช้คลาวด์, DevOps และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สมาช่วยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรม
และเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน นอกจากนี้องค์กรต่าง ๆ ก็เริ่มประเมินทางเลือกของระบบที่จะนำมาทดแทนระบบดั้งเดิมที่มีอยู่ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนกลยุทธ์ด้านไอทีในระยะยาว และทำให้เกิดอุปสงค์ในการมองหาเทคโนโลยีใหม่
อย่างไรก็ตามความตระหนักรู้ถึงการพัฒนาแอป low–code ในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศ อื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก โดยมีสัดส่วนองค์กรในประเทศไทยเพียง 19% เท่านั้นที่ใช้แพลตฟอร์ม low–code ซึ่งเหตุผลหลักมาจากการขาดความตระหนักรู้ ส่วนภาคธุรกิจที่ริเริ่มนำมาใช้ก่อนใครคือ ธนาคาร การสื่อสาร และสื่อ
จากผลสำรวจความท้าทายสูงสุด 3 อันดับแรกที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการพัฒนาแอปคือ การมีข้อจำกัดทางด้านทรัพยากร (29%) ขอบเขตของงานที่ขยายไม่จบสิ้น (21%) และการก้าวให้ทันกระแส (14%)
ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่นักพัฒนาซอฟท์แวร์ของไทยโฟกัสในขณะนี้ได้แก่ โซเชียลเน็ตเวิร์ค (58%) ปัญญาประดิษฐ์และ machine learning (26%), IoT สำหรับคอนซูเมอร์ (23%)
ในด้านการจัดลำดับความสำคัญของงาน นักพัฒนาซอฟท์แวร์ของไทยใช้เวลาไปกับ 3 สิ่งนี้มากที่สุด : การวิเคราะห์ และการทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยและช่องโหว่ต่าง ๆ (78%) การทดสอบฟังก์ชั่นการทำงานในแต่ละหน่วยและหลังบูรณาการ (63%)
การวิเคราะห์ และทดสอบผลการปฏิบัติงานและภาระงาน (61%) และใช้เวลาน้อยลงในสิ่งเหล่านี้ : การออกแบบและสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ (66%) การติดตาม bug (63%) การเขียนโค้ด (63%)
“ดังนั้นสำหรับประเทศไทย Low–code ยังรอที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งจะช่วยพลิกองค์กรให้ก้าวสู่การเป็นนวัตกรรม และมีความคล่องตัวสูงในการดำเนินธุรกิจ”
Low-code ช่วยสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นทั้ง ด้านไอที และวัฒนธรรมการทำงานใหม่
นักพัฒนาซอฟท์แวร์ที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้เร็วขึ้นและทำงานอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้นจะช่วยเพิ่มจำนวนและความต้องการตำแหน่งงานนักพัฒนามากขึ้น เนื่องจากผู้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคไม่มากนักก็สามารถเข้าสู่สายงานการพัฒนาแอปได้
ซึ่งลดอุปสรรคในการเข้าสู่วงการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านไอที ส่งผลให้นักพัฒนาซอฟท์แวร์สายตรงมีเวลาเพิ่มมากขึ้นในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อรับบทบาทหน้าที่ในฐานะ “นักวางกลยุทธ์”, “สถาปนิคระบบ” และ “ผู้เชี่ยวชาญ”
แพลตฟอร์ม low–code ช่วยอุดช่องว่างระหว่างไอทีและธุรกิจ เนื่องจากความรวดเร็วและความง่ายในการใช้งานทำให้สามารถเปิดตัวสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การย่นระยะเวลาในการเปิดใช้งานแอปที่รวดเร็วขึ้นทำให้มูลค่าธุรกิจสูงขึ้นตาม และการเขียนโค๊ดที่ไม่ซับซ้อนก็จะช่วยลดปัญหาการแก้ไข bug ที่น้อยลง
นอกจากนี้ยังลดอุปสรรคในการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งแอป ยังได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของระบบซีเคียวริตี้ในตัวตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวทางปฏิบัติ DevSecOps ดังนั้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจขององค์กรย่อมดีขึ้น
low–code ยังช่วยขจัดปัญหา “tech debt” ซึ่งเป็นภาวะที่การพัฒนาซอฟต์แวร์เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ชุดทักษะของนักพัฒนาใดๆ จะตามทัน ทำให้นักพัฒนาสามารถเดินตามแผนงานการปฏิรูปสู่ยุคดิจิทัลโดยไม่ถูกถ่วงเวลาให้หมดไปกับการเพิ่มพูนทักษะและการฝึกอบรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กินเวลายาวนาน
และในเมื่อการสร้างต้นแบบ และ MVP ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ผู้ใช้ที่ไม่มีประสบการณ์การเขียนโค้ดใด ๆ ก็สามารถพัฒนาต้นแบบ (MVP) บนเว็บ โมบาย และแอปพลิเคชันอื่น ๆ เองได้ภายในไม่กี่นาที ซึ่งผลลัพธ์จากการร่วมมือกับนักพัฒนาทำให้องค์กรสามารถหาจุดกึ่งกลางที่สมดุลในการทำงานร่วมกัน
โดยหัวหน้าฝ่ายไอทีกว่า 18% ในเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่าการร่วมมือข้ามสายงานเป็นหนึ่งในความท้าทายสูงสุด 3 อันดับแรก ในองค์กรเลยทีเดียว ดังนั้นองค์กรที่ใช้แพลตฟอร์ม low–code แบบ shared environment จะช่วยเอื้ออำนวยให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้นระหว่างฝ่ายเทคนิค และฝ่ายที่ไม่ใช่สายเทคนิค
กล่าวโดยสรุป แพลตฟอร์ม low–code ช่วยเพิ่มผลิตภาพของนักพัฒนาเพราะเป็นการผสานขีดความสามารถและเครื่องมือเข้าด้วยกัน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ควรพิจารณาด้วยว่าแพลตฟอร์ม low–code ใดเหมาะกับด้านกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลขององค์กรอย่างครอบคลุมและกว้างขวางกว่าบ้าง
รวมไปถึงความสามารถของแพลตฟอร์มดังกล่าวในการพัฒนาแอปพลิเคชันได้หลากหลายประเภทยิ่งขึ้นในทุกสายงานธุรกิจ เนื่องจากส่วนต่อประสานโปรแกรมและรูปแบบการใช้นวัตกรรมที่ได้รับการรองรับ (IoT, AI) มีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ นักพัฒนาซอฟท์แวร์ส่วนใหญ่จึงต้องการแพลตฟอร์ม low–code
ที่สามารถปรับใช้แอปพลิเคชันกับบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที IaaS (Infrastructure as a Service), บริการแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาซอฟท์แวร์แอพปลิเคชั่น PaaS (Platform as a Service) และระบบไฮบริดคลาวด์ที่หลากหลาย อันที่จริงแล้วในขั้นตอนของการแนะนำ low–code มาปรับใช้
นั้นจะทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพได้รับโอกาสที่ดีเยี่ยมในการเข้าร่วมสนทนาในเรื่องที่เกี่ยวกับการวางกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจในระดับสูง ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันแฝงที่มีต่อภาระหน้าที่ในปัจจุบันของเขาแล้ว การสนทนาในเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อการทำงานของพวกเขา
ซึ่งจากการศึกษาของ Outsystems ที่ทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 3,300 ราย ใน 8 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ดังนี้
- ตลาดยังมีความต้องการการพัฒนาแอปพลิเคชั่นซอฟท์แวร์ในระดับสูงตลอดเวลา
- องค์กรให้ระยะเวลาในการพัฒนาแอปต่างๆ น้อยเกินควร
- แบ็คล็อกเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
- ทักษะการพัฒนาแอปยังเป็นที่ขาดแคลน
- มีความนิยมใช้แนวปฏิบัติแบบ Agile และแบบ customer-centric เพิ่มมากขึ้น
- แนวคิดที่ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางยังคงปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง
- low-code กำลังจะกลายเป็นกระแสหลัก
แหล่งข้อมูล:
- IDC’s Asia/Pacific Enterprise Software Survey 2019
- The State of Application Development, 2019: Is IT Ready for Disruption, Outsytstems
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th