แอลจี (LG) โชว์ไตรมาสแรกปี 63 กำไรรวม 3.86 แสนล้าน จากทุกกลุ่ม

แอลจี (LG) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2563 กำไรกว่า 3.86 แสนล้านบาท พร้อมสร้างสถิติอัตรากำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์…

LG โชว์ผลประกอบการ Q1/63 กำไรรวม 3.86 แสนล้านบาท

เมื่อประมาณวันที่ 29 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา แอลจี ได้ออกมาเผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ ของปี 2563 มีรายได้รวม 12.45 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.86 แสนล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงาน 921.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.86 หมื่นล้านบาท)

แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 21.1% จากไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ที่มีกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 921 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.86 หมื่นล้านบาท)

คิดเป็นอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 7.4% ซึ่งเป็นอัตราประจำไตรมาสแรกสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอลจี โดยจากการเปิดเผยดังกล่าว แอลจี ได้ชี้แจ้งด้วยการบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ต่าง ๆ ดังนี้

LG

กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเครื่องปรับอากาศ 

จากรายงานรายได้ประจำไตรมาสแรกที่ 4.58 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.42 แสนล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงาน 636.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.97 หมื่นล้านบาท) โดยมีรายได้คงที่ในมูลค่าใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า

แม้ความต้องการซื้อในตลาดทั่วโลกลดลงจากวิกฤติโรคโควิด-19 แต่ยอดขายในประเทศเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่น Steam เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องล้างจาน และนวัตกรรมเพื่อการดูแลเสื้อผ้ LG Styler สะท้อนถึงความสนใจของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในการดูแลสุขภาพ และสุขอนามัย

โดยทั้งผลกำไรจากการดำเนินงาน (เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา) และอัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้ มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอลจี อันเป็นผลจากประสิทธิภาพในการลดต้นทุน และความสนใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม

LG
LG Styler

กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 

รายได้ประจำไตรมาสแรกที่ 2.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.78 หมื่นล้านบาท) ลดลง 4.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากข้อจำกัดด้านการจัดหาชิ้นส่วน และการชะลอตัวของความต้องการซื้อทั่วโลก

ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง โดยในปีนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนการจัดประเภทผลิตภัณฑ์ไอทีจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ไปยังกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ทำให้รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 31.7% คิดเป็นมูลค่า 275.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 8.53 พันล้านบาท)

ด้วยประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เช่น ทีวี OLED และทีวี NanoCell นอกจากนี้ ด้วยความต้องการซื้อที่ลดลงจากวิกฤติโรคระบาด แอลจีจึงได้จัดสรรสัดส่วนของผลิตภัณฑ์พรีเมียมใหม่

เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ ยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารทรัพยากร และสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคต

LG

กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ 

ด้านยอดขายประจำไตรมาสที่ ที่ 843.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.62 หมื่นล้านบาท) โดยมีผลการดำเนินงานขาดทุนน้อยลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ 200.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 6.23 พันล้านบาท) ยอดขายลดลงประมาณ 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

เป็นผลจากการหยุดชะงักของผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศจีน จึงต้องมีมาตรการต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติโรคโควิด-19 ด้วยการเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต และการตลาด เพื่อใช้ต้นทุนอย่างคุ้มค่าที่สุด ซึ่งในไตรมาสที่ นี้ จะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน LG Velvet 5G ใหม่ในประเทศเกาหลีใต้

นับเป็นการสร้างแนวทางใหม่ทั้งในเรื่องของปรัชญาการดีไซน์ อีกทั้งยังเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้ชิ้นส่วน และเสริมความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น รวมถึงการยกระดับกลยุทธ์ในการขายผ่านช่องทางออนไลน์

LG

กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ 

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ สามารถสร้างรายได้ประจำไตรมาสแรกที่ 1.11 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.44 หมื่นล้านบาท) ลดลง 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ผลการดำเนินงานขาดทุน 81.8 ล้านเหรียญสหรัญฯ (หรือประมาณ 2.54 พันล้านบาท)

เนื่องจากการหยุดชะงักของผู้ผลิตยานยนต์ในอเมริกาเหนือ และยุโรป ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด บริษัทฯ ได้วางแผนในการเสริมประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานโดยคำนึงถึงความต้องการซื้อที่ลดลงของผู้ผลิตยานยนต์เป็นสำคัญ พร้อมมุ่งพัฒนาโครงสร้างธุรกิจด้วยการลดต้นทุนยิ่งขึ้นในไตรมาสที่ 2

กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร

ด้านกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร สามารถสร้างยอดขายในไตรมาสแรกที่ 1.44 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.46 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา 18.8% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของแผงโซลาร์เซลล์ และผลิตภัณฑ์ไอที

เช่น โน้ตบุ้ค LG gram ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 26.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มูลค่า 179.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.56 พันล้านบาท) ซึ่งมากกว่าไตรมาสที่แล้วถึง 159% จากยอดขายแผงโซลาร์เซลล์ ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งจากจอดิจิทัลเชิงพาณิชย์

รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประสิทธิภาพในการผลิต และเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด บริษัทฯ จะขยายช่องทางการขายออนไลน์สำหรับผลิตภัณฑ์ไอที เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน และการศึกษาจากระยะไกล

LG

อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไตรมาสที่ 1 ปี 2563

รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 

ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ ปี 2563 อยู่ที่ 31 บาทต่อ เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) 
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com และ www.lgnewsroom.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่  www.facebook.com/itday.in.th