อาลีบาบา (Alibaba) เผย ได้ดำเนินงานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ทั่วโลก รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,400 ล้านหยวน หรือราว 15,000 ล้านบาท…
Alibaba ทุ่ม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับโควิด-19 ทั่วโลก
อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่าที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินงานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ทั่วโลกรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,400 ล้านหยวน หรือราว 15,000 ล้านบาท โดยจำนวน 2,760 ล้านหยวน มาจาก อาลีบาบา กรุ๊ป ส่วนอีก 593 ล้านหยวน มาจาก แอนท์ ไฟแนนเชียล
ในฐานะบริษัทที่มีความห่วงใยต่อสังคม อาลีบาบาจึงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อร่วมต่อสู้กับระบาดของ โควิด–19 ทั้งภายในและนอกประเทศจีนอย่างเต็มที่ ตามพันธกิจของอาลีบาบาที่ต้องการให้ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้ง่ายจากทุกที่ทั่วโลก
หลังจากโควิด-19 เริ่มระบาดในเดือนมกราคม อาลีบาบา ได้ส่งความช่วยเหลือฉุกเฉินต่าง ๆ ไปให้เมืองอู่ฮั่นทันที และประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ขายบนแพลทฟอร์มอาลีบาบา ทั้งหมด 20 มาตรการ ซึ่งครอบคลุม 6 ด้าน เช่น การงดเก็บค่าดำเนินการจากผู้ขาย การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือ 0% และเปิดให้เข้าใช้บริการดิจิทัล
รวมทั้งเปิดรับสมัครตำแหน่งงานแบบยืดหยุ่น โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ก้าวผ่านวิกฤตในช่วงที่เกิดโรคระบาด นอกจากนี้ อาลีบาบา ยังได้นำโครงการ “Spring Thunder“ กลับมาใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจและการผลิตในจีนให้ฟื้นตัวโดยเร็ว
โดยโครงการดังกล่าวถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2552 ในช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ ส่วนในวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้โครงการ Spring Thunder ได้ช่วยให้เอสเอ็มอีทั้งในจีนและในต่างประเทศเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และกระตุ้นการขายภายในประเทศ
ช่วยฟื้นฟูภาคการเกษตรทั่วประเทศจีน และช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมสามารถปรับตัวไปสู่รูปแบบดิจิทัล โยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 อาลีบาบา ได้งดเว้นการเก็บค่าบริการบนแพลตฟอร์มให้กับผู้ขายบนทีมอลล์ คิดเป็นเงินทั้งหมด 610 ล้านหยวน หรือราว 2,717 ล้านบาท
นอกจากนี้ เถาเป่า และทีมอลล์ ยังร่วมมือกับไช่เหนี่ยวซึ่งเป็นเครือข่ายสมาร์ทโลจิสติกส์ของ อาลีบาบา กรุ๊ป ในการงดเก็บค่าซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ให้กับผู้ขาย เป็นเงิน 360 ล้านหยวน หรือราว 1,600 ล้านบาท ส่วน MYBank ได้ให้ความช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ในประเทศจีนด้วยการให้เครดิตเทอมที่รวดเร็วขึ้น
ซึ่งคิดเป็นเงินมากกว่า 439 ล้านหยวน หรือราว 1,956 ล้านบาท ขณะที่ สถาบันต๋าโม๋ (DAMO Academy) ของอาลีบาบายังติดตั้งโซลูชั่นวิเคราะห์ภาพแบบซีทีแสกนโดยใช้ AI ให้แก่ โรงพยาบาล 550 แห่งในจีน เพื่อใช้ตรวจวินิจฉัยโควิด-19
นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีทั่วโลกรวมมูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 952 ล้านบาท โดยมีเอสเอ็มอีมากกว่า 600 ราย ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว รวมถึง อาลีบาบา กรุ๊ป ยังได้บริจาคอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อมากกว่า 73 ล้านชิ้น
คิดเป็นเงิน 480 ล้านหยวน หรือราว 15,243 ล้านบาท ให้แก่เมืองอู่ฮั่นและภูมิภาคที่อื่น ๆ ในจีนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด นอกจากนี้ยังบริจาคเงินให้กับองค์กรระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก และอีกหลายภูมิภาคทั่วโลก
ในทุกวิกฤตล้วนมีโอกาสเสมอ
แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั่วโลก มีสองสิ่งที่แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ เทรนด์ของผู้บริโภคในจีนจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบวิถีชีวิตดิจิทัล และ จีนจะยังคงจุดยืนในการเป็นโรงงานผลิตของโลก
แต่ที่มากกว่านั้นคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลระดับสูงเข้ามาใช้ มีคำกล่าวที่ว่า “คนที่เตรียมพร้อม ย่อมได้เปรียบกว่า“ ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่ง ดังนั้น เอสเอ็มอี จึงควรคิดแล้วว่าจะปรับตัวอย่างไรในช่วงที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากวิกฤต
ตัวอย่างหนึ่งของการอุทิศตนให้กับลูกค้าของของ อาลีบาบา กรุ๊ป เห็นได้จากช่วงที่เกิดโรคซาร์สในปี 2546 ซึ่งบริษัทสามารถรักษาระดับการให้บริการลูกค้าได้เหมือนปกติ แม้ว่าพนักงานจำนวนมากของบริษัทต้องทำงานจากที่บ้าน
โดย ในปี 2563 อาลีบาบา ได้เติบโตจากบริษัทอีคอมเมิร์ซ ไปเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีอีโคซิสเท็มหลากหลาย รวมถึงเทคโนโลยีพื้นฐานต่าง ๆ ระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ บริการขนส่งท้องถิ่น และอีคอมเมิร์ซ เมื่อโควิด-19 ระบาด อาลีบาบา ได้นำความเชี่ยวชาญของระบบเศรษฐกิจอาลีบาบา และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ
กว่า 20 ปี ทั้งความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซ นวัตกรรมเทคโนโลยี และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า และตลาด มาใช้เพื่อสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างดีที่สุด ซึ่งด้วยความสนับสนุนดังกล่าวทำให้ลูกค้า และพันธมิตรของอาลีบาบาสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่ www.facebook.com/itday.in.th